Onlinenewstime.com : สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เปิดเผยภาวะสังคมไทยไตรมาสหนึ่ง ปี 2568 พบความเคลื่อนไหวสำคัญ ได้แก่ สถานการณ์การจ้างงาน ลดลงต่อเนื่อง อัตราการว่างงานลดลง หนี้สินครัวเรือน (ไตรมาสสี่ ปี 2567) ขยายตัวในอัตราชะลอลง แต่หนี้เสีย เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เช่นเดียวกับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินที่แย่ลง
สำหรับการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และบุหรี่ การเจ็บป่วยด้วยโรคเฝ้าระวัง และการรับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภคเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีการนำเสนอสถานการณ์ทางสังคมที่น่าสนใจ 3 เรื่อง ได้แก่ (1) ช่องว่าง Soft Skills ในตลาดแรงงานไทย (2) OTT : บริการสื่อสมัยใหม่ควรต้องกำกับดูแลอย่างไร? และ (3) เมื่อการเฝ้าระวังและรับมือกับชนิดพันธุ์ต่างถิ่น (Alien Species) รวมทั้งนำเสนอบทความเรื่อง “กรณีศึกษาการรับมือแผ่นดินไหวในต่างประเทศ”
สถานการณ์แรงงาน
สถานการณ์แรงงานไตรมาสหนึ่ง ปี 2568 ปรับตัวลดลง โดยภาคเกษตรกรรมมีการจ้างงานลดลง ต่อเนื่อง ส่วนนอกภาคเกษตรขยายตัวได้เล็กน้อย แต่ยังต้องให้ความสำคัญกับความอยู่รอดของ SMEs จากการขาดการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม เด็กจบใหม่ที่อาจเสี่ยงตกงาน รวมถึงการสร้าง หลักประกันการถูกเลิกจ้างให้แก่แรงงาน
ไตรมาสหนึ่ง ปี 2568 ผู้มีงานทำมีจำนวนทั้งสิ้น 39.4 ล้านคน ลดลงจากไตรมาสหนึ่งของปี 2567 ร้อยละ 0.5 จากการจ้างงานในภาคเกษตรกรรมที่ลดลงอย่างต่อเนื่องที่ร้อยละ 3.1 แต่นอกภาคเกษตรกรรมปรับตัวดีขึ้น เล็กน้อยที่ร้อยละ 0.5 โดยเฉพาะสาขาโรงแรม/ภัตตาคารยังคงขยายตัวได้ที่ร้อยละ 3.5 แม้ว่าจำนวนนักท่องเที่ยว จะเริ่มลดลง
เช่นเดียวกับสาขาการขนส่ง/เก็บสินค้าที่ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 4.5 ขณะที่การจ้างงานในสาขา การผลิตเริ่มหดตัวลงเล็กน้อยที่ร้อยละ 0.4 นอกจากนี้
ในภาพรวมชั่วโมงการทำงานของแรงงานลดลงอยู่ที่ 40.8 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ โดยภาคเอกชนอยู่ที่ 44.0 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ สำหรับผู้ทำงานล่วงเวลาลดลงร้อยละ 5.0 ขณะที่ ผู้ทำงานต่ำระดับลดลงร้อยละ 7.9
อัตราการว่างงานลดลง มาอยู่ที่ร้อยละ 0.88 จากไตรมาสหนึ่ง ปี 2567 ที่อยู่ที่ ร้อยละ 1.01 ซึ่งมีผู้ว่างงานประมาณ 3.6 แสนคน ลดลงในกลุ่มที่จบการศึกษาระดับมัธยมปลายหรือต่ำกว่า เช่นเดียวกับผู้ว่างงานระยะยาวที่ลดลงร้อยละ 14.3 หรือมีจำนวน 6.8 หมื่นคน โดยกลุ่มผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงาน มาก่อนกว่าร้อยละ 74.3 ว่างงานเพราะหางานไม่ได้
ทั้งนี้ ผู้เสมือนว่างงานมีจำนวนกว่า 4.3 ล้านคน เพิ่มขึ้นจาก ปีก่อนถึงร้อยละ 14.6 สำหรับประเด็นที่ต้องเฝ้าระวังและให้ความสำคัญ ได้แก่
1) การประยุกต์ใช้นวัตกรรมและ เทคโนโลยีเพื่อความอยู่รอดของธุรกิจ SMEs โดยรายงานของธนาคารโลก ระบุว่า ธุรกิจในไทยมีการใช้นวัตกรรม ในกิจกรรมต่าง ๆ ในสัดส่วนที่น้อยกว่าประเทศเพื่อนบ้าน กระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ และ อาจเป็นสาเหตุให้ปิดกิจการ จึงควรมีการส่งเสริมให้ SMEs เข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อเพิ่มโอกาสในการนำนวัตกรรม และเทคโนโลยีมาใช้
2) การสร้างหลักประกันกรณีถูกเลิกจ้างให้แก่แรงงาน โดยพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 กำหนดให้นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยตามอายุงานให้แก่ลูกจ้างเมื่อมีการเลิกจ้างโดยที่ลูกจ้างไม่ได้ กระทำความผิด แต่ที่ผ่านมามีลูกจ้างไม่ได้รับการจ่ายค่าชดเชยเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะสถานประกอบการจาก ต่างประเทศ จึงควรมีการศึกษาและกำหนดมาตรการที่ชัดเจนเพื่อให้ลูกจ้างได้รับการชดเชยอย่างที่ควรจะเป็น และ
3) เด็กจบใหม่อาจเสี่ยงต่อการตกงาน ซึ่งผลสำรวจ พบว่า ผู้บริหารกว่าร้อยละ 89 มีแนวโน้มที่จะเลี่ยง การจ้างงานบัณฑิตจบใหม่ เพราะมองว่าขาดประสบการณ์ ทักษะ และมีมารยาททางธุรกิจที่ไม่ดีนัก และเลือกที่จะ หันไปจ้างฟรีแลนซ์/พนักงานที่เกษียณไปแล้วทดแทน หรือปล่อยให้ตำแหน่งว่าง
ดังนั้น เด็กจบใหม่จึงควรเตรียม ความพร้อมของตนเอง ทั้งด้านทักษะและทัศนคติ ขณะที่ภาคการศึกษาต้องเร่งปรับรูปแบบการเรียนการสอน
หนี้สินครัวเรือน
หนี้สินครัวเรือนในไตรมาสสี่ ปี 2567 ขยายตัวชะลอลงต่อเนื่อง ขณะที่คุณภาพสินเชื่อของครัวเรือนลดลง โดยมีประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญ ได้แก่ การมีพฤติกรรรมการบริโภคแบบติดหรูของคนไทยที่อาจนำไปสู่ การก่อหนี้เกินตัว และการผลักดันให้สหกรณ์เข้าร่วมเป็นสมาชิกเครดิตบูโร
ไตรมาสสี่ ปี 2567 หนี้สินครัวเรือนมีมูลค่า 16.42 ล้านล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 0.2 จากไตรมาสเดียวกัน ของปีก่อน จากความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ โดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์ ส่งผลให้สัดส่วนหนี้สินครัวเรือน ต่อ GDP ปรับลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 88.4 จากร้อยละ 88.9 ของไตรมาสก่อนหน้า
ด้านคุณภาพสินเชื่อของครัวเรือน ปรับลดลง โดยมูลค่าสินเชื่อส่วนบุคคลที่ค้างชำระเกิน 90 วันขึ้นไป (NPLs) ในฐานข้อมูลเครดิตบูโร มีจำนวน 1.22 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ร้อยละ 8.94 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 8.78 ของไตรมาสที่ผ่านมา
ขณะที่สินเชื่อค้างชำระระหว่าง 30 – 90 วัน (SMLs) มีมูลค่า 5.68 แสนล้านบาท ลดลงร้อยละ 6.9 จากช่วงเดียวกัน ของปีก่อน โดยมีประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญ ได้แก่
1) คนไทยมีพฤติกรรรมการบริโภคแบบติดหรู ซึ่งอาจนำไปสู่ การก่อหนี้เกินตัวได้ง่าย จากการสำรวจของมหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า คนไทย 1 ใน 3 นิยมใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าหรู (Luxury) และบริการระดับพรีเมียม ทำให้มีแนวโน้มเข้าสู่วงจรหนี้ง่ายขึ้น และ
2) การผลักดันให้สหกรณ์เข้าร่วม เป็นสมาชิกเครดิตบูโร ซึ่งถือเป็นเครื่องมือที่สามารถช่วยให้ประชาชนสามารถหลุดจากปัญหาหนี้สิน รวมถึงเพิ่ม โอกาสการเข้าถึงสินเชื่อที่เป็นธรรม
การเจ็บป่วยด้วยโรคเฝ้าระวัง
การเจ็บป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังในไตรมาสหนึ่ง ปี 2568 เพิ่มขึ้น และยังต้องให้ความสำคัญกับ การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์โดยเฉพาะโรคซิฟิลิส และโรคเอชไอวี (HIV) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น.และการแพร่ระบาดของโรคไข้ดำแดงในเด็ก รวมทั้งการสัมผัสหรือทานเนื้อวัวดิบอาจติดเชื้อ แอนแทรกซ์ได้
ไตรมาสหนึ่ง ปี 2568 การเจ็บป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังเพิ่มขึ้นร้อยละ 64.1 จากการเพิ่มขึ้นของโรคที่ระบาด ต่อเนื่องจากไตรมาสสี่ ปี 2567 ด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ และโรคปอดอักเสบ ขณะที่สุขภาพจิตพบปัญหาเพิ่มขึ้น โดยในด้านสุขภาพมีประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญ คือ
1) การแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ที่มีผู้ป่วยจำนวน มากขึ้น
2) โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์โดยเฉพาะโรคซิฟิลิส และโรคเอชไอวี (HIV) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
3) การแพร่ ระบาดของโรคไข้ดำแดงในเด็ก และ
4) การสัมผัสหรือทานเนื้อวัวดิบอาจติดเชื้อแอนแทรกซ์ ซึ่งทำให้มีโอกาส เจ็บป่วยและเสียชีวิตได้
การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่
การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่ในไตรมาสหนึ่ง ปี 2568 เพิ่มขึ้น ไตรมาสหนึ่ง ปี 2568 ค่าใช้จ่ายในการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.0 โดย การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.0 ขณะที่การบริโภคบุหรี่ลดลงร้อยละ 0.8 จากช่วงเดียวกันของ ปีก่อน สอดคล้องกับจำนวนผู้บริโภคบุหรี่ที่ค่อย ๆ ลดลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2554 ถึงปัจจุบัน
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่ต้องติดตามและให้ความสำคัญ คือ 5 จังหวัดคนดื่มหนักและถี่เสี่ยงต่อการเป็นโรค จากข้อมูลของ สำนักงานสถิติแห่งชาติในปี 2567 พบว่า คนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไปบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้น โดยมี 5 จังหวัด ได้แก่ บุรีรัมย์ ราชบุรี ตาก อ่างทอง และอุตรดิตถ์ ที่มีสัดส่วนผู้ที่ดื่มหนัก 3 – 4 วันต่อสัปดาห์ ซึ่งเสี่ยงต่อการเป็นโรค
และแม้จำนวนผู้สูบบุหรี่มีแนวโน้มลดลง แต่พบว่ากลุ่มผู้สูบบุหรี่เป็นประจำมีจำนวนเพิ่มขึ้น และนักสูบหน้าใหม่มีอายุน้อยลง
ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินในไตรมาสหนึ่ง ปี 2568 ลดลง โดยมีประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญ คือ การเสียชีวิตจากการจมน้ำในเด็ก คนไทยยังคงเสี่ยงตกเป็นเหยื่อถูกหลอกลวงทางออนไลน์สูง และ การเตรียมพร้อมของระบบการแจ้งเตือนภัยพิบัติ
ไตรมาสหนึ่ง ปี 2568 คดีอาญารวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 จากไตรมาสเดียวกันของปี 2567 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของคดียาเสพติดร้อยละ 0.3 และคดีประทุษร้ายต่อทรัพย์ร้อยละ 21.1 ขณะที่คดีชีวิต ร่างกาย และเพศ ลดลงร้อยละ 6.8
ด้านการรับแจ้งอุบัติเหตุทางถนน มีการรับแจ้งผู้ประสบภัยสะสมรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 จากไตรมาสเดียวกันของปี 2567 โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของผู้บาดเจ็บ และผู้ทุพพลภาพ ขณะที่ผู้เสียชีวิต ลดลง ร้อยละ 11.9 ทั้งนี้ ประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญ ได้แก่
1) การเสียชีวิตจากการจมน้ำในเด็ก ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (ปี 2558 – 2567) พบเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี เสียชีวิตจากการจมน้ า 6,055 ราย โดยสัดส่วนกว่าร้อยละ 33.8 จมน้ำในช่วงเดือนมีนาคมจนถึงพฤษภาคม (เฉลี่ย 2.3 ราย/วัน) โดยในช่วงฤดูฝนยังเป็นช่วงที่มีความเสี่ยงต่อการจมน้ำสูง โดยเฉพาะในพื้นที่น้ำท่วมขัง หรือบริเวณแหล่งน้ำเปิดที่ไม่มีรั้วกั้น/ป้ายเตือนอันตราย อาทิ คลอง หนองน้ำ ร่องระบายน้ำ
2) คนไทยยังคงเสี่ยงตกเป็นเหยื่อถูกหลอกลวงทางออนไลน์สูง จากรายงาน Whoscall ปี 2567 พบสายโทรศัพท์และข้อความ SMS หลอกลวงจำนวน 168 ล้านครั้ง เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 112 จาก 79.2 ล้านครั้ง ในปี 2566 สูงสุดในรอบ 5 ปี โดยเฉพาะข้อความ SMS ที่แนบลิงก์ฟิชชิง ซึ่งมักแอบอ้างหน่วยงานรัฐ อาทิ การชำระค่าทางด่วน โครงการดิจิทัลวอลเล็ต และ
3) การเตรียมพร้อมของระบบการแจ้งเตือนภัยพิบัติ ปัจจุบัน อยู่ระหว่างพัฒนาการแจ้งเตือนสาธารณภัยให้เป็นระบบ Cell Broadcast (CBS) ซึ่งภายหลังทดสอบยังพบข้อจำกัด ในเรื่องระบบปฏิบัติการโทรศัพท์ที่ไม่สามารถเข้ากับสัญญาณ CBS ได้ ขณะที่ผู้ใช้บริการเครือข่าย 2G และ 3G จะได้รับการแจ้งเตือนผ่านระบบ SMS แทน ซึ่งต้องเร่งผลักดันขยายระบบ CBS ให้ครอบคลุมต่อไป
การร้องเรียนของผู้บริโภค
การร้องเรียนของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น ในปัญหาเกี่ยวกับสินค้าและบริการ ขณะที่การร้องเรียนปัญหาด้าน โทรคมนาคม ผ่าน สนักงาน กสทช. ลดลง อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามและเฝ้าระวังเกี่ยวกับการใช้ AI ในการสร้างรูปภาพเพื่อการโฆษณาสินค้า/บริการ ปัญหาเพจที่พักปลอมระบาด และค่าบริการโรงพยาบาล เอกชนที่แพงเกินความเหมาะสม
ไตรมาสหนึ่ง ปี 2568 การร้องเรียนของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาร้อยละ 36.2 โดยการร้องเรียนสินค้าและบริการผ่าน สคบ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 39.2 ขณะที่การร้องเรียนในกิจการโทรคมนาคม ของสำนักงาน กสทช. ลดลงร้อยละ 4.8 แต่ปัญหาด้านคุณภาพสัญญาณยังคงน่าเป็นห่วง อย่างไรก็ตาม มีประเด็น ที่ต้องติดตามและเฝ้าระวัง ได้แก่
1) การใช้ AI ในการสร้างรูปภาพเพื่อการโฆษณาสินค้า/บริการ ที่เพิ่มขึ้นและอาจ เข้าข่ายเป็นการโฆษณาเท็จ และละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ตลอดจนอาจสร้างความเข้าใจผิดในสาระสำคัญแก่ผู้บริโภค ซึ่งกว่าร้อยละ 67 ของผู้บริโภคยังแยกแยะภาพ AI ได้ยาก และกว่าร้อยละ 20 กลับแยกแยะไม่ได้เลย
2) เพจจอง ที่พักปลอมระบาดบนแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาล ซึ่งทำให้ประชาชนถูกหลอกลวงมากขึ้น และ
3) ค่าบริการโรงพยาบาลเอกชนที่แพงเกินความเหมาะสม และไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค โดยในปี 2568 พบราคา ยา/เวชภัณฑ์ในโรงพยาบาลเอกชนสูงเกินจริง อาทิ ค่าน้ำเกลือขนาด 1,000 มิลลิลิตร ที่ขายในราคา 919 บาท สูงกว่า ราคาตลาดถึง 20.4 เท่า (สภาองค์กรของผู้บริโภค, 2568) สะท้อนถึงภาระค่าใช้จ่ายที่ประชาชนต้องแบกรับ อย่างไม่เหมาะสม

ช่องว่าง Soft Skills ในตลาดแรงงานไทย
สศช. ร่วมกับบริษัท ศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาสังคมและธุรกิจ จำกัด (SAB) ได้ทำการสำรวจ “ช่องว่าง ของ Soft Skills ระหว่างทักษะสำคัญที่สถานประกอบการต้องการกับทักษะของแรงงานที่มีอยู่ในปัจจุบัน รวมถึง แรงงานในอนาคต” ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายทั้งกลุ่มนักศึกษา กลุ่มแรงงาน และตัวแทนผู้ประกอบการ
เพื่อนำเสนอ ถึงสถานการณ์ Soft Skills และความสอดคล้องระหว่างความต้องการของสถานประกอบการและแรงงาน รวมถึง การพัฒนา Soft Skills ซึ่งผลสำรวจพบว่า กลุ่มแรงงาน และกลุ่มนักศึกษาต่างให้ความสำคัญกับ Soft Skills เป็นอย่างมาก โดยทั้ง 2 กลุ่มค่อนข้างเห็นด้วยว่า “การมี Soft Skills จะช่วยเพิ่มโอกาสในการหางานได้” และ “Soft Skills มีความสำคัญพอ ๆ กับ Hard Skills”
โดยผู้ประกอบการกว่าร้อยละ 65 ให้ความสำคัญกับ Soft Skills และใช้เป็นหนึ่งในเงื่อนไขในการคัดเลือกบุคลากร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในองค์กรขนาดใหญ่
อย่างไรก็ตาม ผลการสำรวจมีข้อค้นพบสำคัญที่ไทยต้องเร่งยกระดับ Soft Skills ของแรงงาน ได้แก่
1) ประเภท Soft Skills ที่แรงงานไทยให้ความสำคัญยังไม่สอดคล้องกับทิศทางของตลาดแรงงานโลก โดย องค์กรต่าง ๆ ทั่วโลกให้ความสำคัญกับ Soft Skills ที่เป็นทักษะแห่งอนาคต โดยเฉพาะทักษะการคิดวิเคราะห์ ความยืดหยุ่นคล่องตัว ความคิดสร้างสรรค์ ขณะที่แรงงานไทยยังให้ความสำคัญกับ Soft Skills ที่มีประโยชน์ ต่อการทำงานในปัจจุบันเท่านั้น
2) นักศึกษาและแรงงานเกือบ 1 ใน 3 ยังเข้าใจทักษะ Soft Skills ไม่ตรงกับ ความต้องการของผู้ประกอบการ โดยพบว่าผู้ประกอบการคาดหวังให้ผู้ปฏิบัติงานมีทักษะในด้านของการทำงานเป็น ทีม การบริการและเอาใจใส่ลูกค้า และการสื่อสาร เป็นหลัก ในขณะที่ Soft Skills ที่กลุ่มนักศึกษาและแรงงาน มีมากที่สุดกลับไม่สอดคล้องกับทักษะข้างต้น
3) สถานประกอบการกว่า 1 ใน 3 ไม่มีการจัดกิจกรรมพัฒนา Soft Skills ให้กับแรงงาน และการเรียนการสอนในระดับมหาวิทยาลัยยังมีการพัฒนา Soft Skills น้อย โดยในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมาสถานประกอบการกว่าร้อยละ 37.7 ไม่มีการจัดกิจกรรมพัฒนา Soft Skills ให้พนักงาน ขณะที่นักศึกษาถึงร้อยละ 57.4 ระบุว่า การเรียนการสอนในปัจจุบันช่วยพัฒนา Soft Skills ได้น้อยถึงปานกลาง
4) ความร่วมมือระหว่างสถานศึกษาและภาคเอกชนในการพัฒนาทักษะ Soft Skills ยังมีจำนวนน้อย โดยพบว่า ร้อยละ 61.3 ของสถานประกอบการไม่เคยมีส่วนร่วมกับสถาบันการศึกษาในการพัฒนา Soft Skills ของนักศึกษา ส่วนใหญ่ร้อยละ 87.6 เป็นแค่การรับนักศึกษาไปฝึกงาน และ
5) กลุ่มนักศึกษาและกลุ่มแรงงานส่วนใหญ่เรียนรู้ Soft Skills ด้วยตนเอง ซึ่งอาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ทักษะไม่ตรงกับความต้องการของผู้ประกอบการ โดยกว่าร้อยละ 32.7 ของแรงงาน และร้อยละ 50.5 ของกลุ่มนักศึกษา ระบุว่าตนเรียนรู้ Soft Skills ด้วยตัวเอง เป็นหลัก อาทิ จาก Youtube
ขณะที่ต่างประเทศมีกลไกสนับสนุนที่ชัดเจน อาทิ สิงคโปร์ มีหน่วยงาน SkillsFuture Singapore ในการส่งเสริม Soft Skills ทุกช่วงวัยผ่านหลักสูตรการเรียนรู้ตลอดชีวิต เกาหลีใต้ มีการให้สิทธิแรงงานได้รับ การฝึกอบรมทักษะทั้ง Hard Skills และ Soft Skills โดยสนับสนุนค่าใช้จ่ายทั้งหมดตามระบบบัตรกำนัลฝึกอบรม (National Training Card System)
และ แคนาดา มีนโยบายสนับสนุนการอบรมระยะสั้น และสนับสนุนค่าใช้จ่าย ให้แก่ผู้ประกอบการ พร้อมทั้งการจัดตั้งศูนย์ทักษะแห่งอนาคต ซึ่งหากประเทศไทยต้องการยกระดับศักยภาพ Soft Skills ให้สามารถแข่งขันกับประเทศอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องกำหนดแนวทางการพัฒนา Soft Skills อย่างเป็นระบบ ควบคู่ไปกับการวางกลไกสนับสนุนที่ครอบคลุมและยั่งยืน โดยเฉพาะบทบาทภาครัฐ ในการส่งเสริมการบูรณาการของภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อให้การพัฒนา Soft Skills เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
รวมทั้งยัง ต้องมีการส่งเสริมความร่วมมือของสถาบันการศึกษากับสถานประกอบการทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานไทยและ ตลาดแรงงานระดับสากล
OTT : บริการสื่อสมัยใหม่ควรต้องกำกับดูแลอย่างไร ?
การให้บริการคอนเทนต์ผ่านโครงข่ายอินเทอร์เน็ต (Over the Top : OTT) เป็นบริการที่เข้ามามีบทบาท ทดแทนการรับชมคอนเทนต์ดั้งเดิมจากสื่อโทรทัศน์ เนื่องจากสามารถตอบโจทย์พฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบัน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ในปี 2567 มีมูลค่าการตลาดสูงถึง 821.3 ล้านดอลลาร์ฯ และอาจเพิ่มเป็น 1,059.0 ล้านดอลลาร์ฯ ในปี 2571 อีกทั้งยังส่งผลดีต่อเป้าหมายของประเทศที่จะส่งเสริมธุรกิจคอนเทนต์/ดิจิทัลคอนเทนต์ ไปตลาดต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม การที่ไทยยังขาดการควบคุมดูแลบริการ OTT ที่ชัดเจน ส่งผลไทยตกอยู่ในสภาวะ สุญญากาศทั้งนิยามและสถานะทางกฎหมาย และนำมาซึ่งปัญหา โดยเฉพาะในกลุ่มบริการสตรีมมิ่ง คือ
1) ผู้บริโภค เข้าถึงเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม/อันตรายได้ง่าย โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชน จากรายงาน Digital 2023 Global Overview Report พบว่า ร้อยละ 54 ของเด็กและเยาวชนเคยพบเห็นสื่อลามกอนาจารบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งปัญหาส่วนหนึ่งมาจาก แต่ละแพลตฟอร์ม OTT มีการกำหนดมาตรฐานในด้านระดับความเหมาะสมของเนื้อหาและ การแสดงคำเตือนที่แตกต่างกัน จึงอาจสร้างความสับสนในการรับรู้และความเสี่ยงต่อการเข้าถึงเนื้อหาไม่เหมาะสม
2) การละเมิดเนื้อหาลิขสิทธิ์ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะแฟลตฟอร์มที่อนุญาตให้ผู้ใช้งานสร้างเนื้อหาและเผยแพร่ต่อได้เอง ส่งผลให้การละเมิดลิขสิทธิ์ในอุตสาหกรรมสื่อภาพยนตร์/สื่อบันเทิงของไทยเพิ่มขึ้นและอาจสร้างความเสียหาย ทางเศรษฐกิจสูงถึง 10,000 ล้านบาท/ปี และ
3) ผู้ประกอบการ OTT สามารถอาศัยช่องว่างของกฎหมาย 5 เอาเปรียบผู้บริโภค อาทิ การนำเอารายการทีวีดิจิทัลของผู้ได้รับใบอนุญาตจาก กสทช. ไปเผยแพร่บนแพลตฟอร์ม โดยมีการหารายได้เพิ่มเติมจากการแทรกโฆษณาในบริการ
ขณะที่ในหลายประเทศมีการแก้ปัญหาด้วยการกำหนดแนวทางการกำกับดูแล ตลอดจนมาตรการ ส่งเสริม ดังนี้ 1) การออกกฎหมายกำกับดูแลบริการ OTT เป็นการเฉพาะ อาทิ สิงคโปร์ มีกฎหมาย Broadcasting Act 1994 กำหนดให้บริการ OTT เป็นบริการแพร่ภาพกระจายเสียงแบบออนดีมานด์และถ่ายทอดสด ซึ่งกำกับดูแล ผู้ให้บริการในประเทศทั้งหมด
2) ประเทศส่วนใหญ่เน้นดึงผู้ให้บริการ OTT เข้าสู่ระบบเพื่อกำกับดูแล โดยการนำ OTT เข้าสู่ระบบ สามารถดำเนินการได้ 2 รูปแบบ คือ (1) ระบบแจ้งประกอบกิจการ อาทิ ประเทศอังกฤษ เดนมาร์ก และเกาหลีใต้ และ (2) ระบบใบอนุญาต อาทิ ประเทศสิงคโปร์ และมาเลเซีย
3) การกำกับเนื้อหา การโฆษณา และ การคุ้มครองลิขสิทธิ์ โดยในด้านเนื้อหา/การโฆษณา สหภาพยุโรป มีกฎหมาย AVMSD เพื่อกำกับดูแลในด้านเนื้อหา และการโฆษณาเป็นหลัก อาทิ กลุ่มคอนเทนต์/โฆษณาอันตรายที่ส่งผลกระทบต่อสังคม
ส่วนในด้านการคุ้มครอง ลิขสิทธิ์ โดยอังกฤษ กำหนดให้การนำเนื้อหาจากสถานีโทรทัศน์มาเผยแพร่บนแพลตฟอร์ม OTT พร้อมกับเพิ่ม โฆษณาสามารถทำได้หากมีการตกลงกับเจ้าของลิขสิทธิ์ ขณะที่สิงคโปร์ มีการปรับปรุงกฎหมายลิขสิทธิ์ให้ครอบคลุม บริการ OTT และบังคับใช้อย่างเข้มงวด และ
4) การส่งเสริมและสนับสนุนการผลิตและส่งออกคอนเทนต์ อาทิ สหภาพยุโรป กำหนดให้แพลตฟอร์ม OTT ต้องมีเนื้อหาที่ผลิตในสหภาพยุโรปไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 ขณะที่ เกาหลีใต้ มีการจัดตั้งคณะกรรมการส่งออกเนื้อหา OTT โดยเฉพาะ อีกทั้งยังมีมาตรการสนับสนุน Local Content และการลด ต้นทุนการผลิตเนื้อหาผ่านระบบการผ่อนปรนภาษี
จากตัวอย่างการดำเนินการกำกับดูแลและส่งเสริมบริการ OTT ของต่างประเทศ ไทยอาจนำมาปรับใช้โดยมี การดำเนินการ ได้แก่ 1) การเร่งรัดให้มีแนวทางในการกำกับดูแลบริการ OTT ให้ชัดเจน ตั้งแต่การกำหนด คำนิยาม ขอบเขต หน่วยงานที่รับผิดชอบ และรูปแบบการกำกับดูแล 2) การกำหนดเงื่อนไขการกำกับดูแลด้าน เนื้อหาและการให้บริการให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งผู้ประกอบการไทยและผู้ประกอบการต่างประเทศ
และ 3) การเตรียมความพร้อมของหน่วยงานผู้รับผิดชอบ อาทิ สำนักงาน กสทช. สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ทั้งในมิติด้านอำนาจหน้าที่ งบประมาณ บุคลากร และเทคโนโลยี ควบคู่กับการบูรณาการความร่วมมือ เพื่อให้สามารถ ดำเนินการกำกับและส่งเสริมดิจิทัลคอนเทนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
การเฝ้าระวังและรับมือกับชนิดพันธุ์ต่างถิ่น (Alien Species)
การเข้ามาของชนิดพันธุ์ต่างถิ่น (Alien Species) เป็นความเสี่ยงต่อความหลากหลายทางชีวภาพทั่วโลก โดยรายงานขององค์การสหประชาชาติ (UNEP) ในปี 2566 ระบุว่า นับตั้งแต่ปี 2513 หลายประเทศประสบปัญหา การรุกรานของชนิดพันธุ์ต่างถิ่นมากกว่า 37,000 ชนิดพันธุ์
ซึ่งในจำนวนนี้ 3,500 ชนิด จัดอยู่ในกลุ่มรุกราน ส่งผล ให้พืชและสัตว์ท้องถิ่นร้อยละ 60 ทั่วโลกสูญพันธุ์ และคาดว่าภายในปี 2593 ภูมิภาคทั่วโลกอาจมีจำนวนชนิดพันธุ์ ต่างถิ่นเพิ่มขึ้นถึง 1 ใน 3 ทั้งนี้
จากรายงาน IPBES ในปี 2566 ระบุว่า ทั่วโลกสูญเสียต้นทุนทางเศรษฐกิจกว่า 423 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ/ปี โดยสัดส่วนร้อยละ 92 เป็นความเสียหายที่เกิดกับระบบนิเวศและคุณภาพชีวิตผู้คน และอีกร้อยละ 8 เป็นเพียงค่าใช้จ่ายในการจัดการและควบคุม
สำหรับประเทศไทย ข้อมูลจาก สผ. ระบุว่า ในปี 2561 ไทยมีชนิดพันธุ์ต่างถิ่นทั้งพืชและสัตว์ที่ขึ้นทะเบียนรายการว่ารุกรานแล้วและมีแนวโน้มรุกรานรวมกัน 196 ชนิด ซึ่งในจำนวนนี้ 23 ชนิด ถูกจัดลำดับให้เป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่มีความสำคัญสูง
ยกตัวอย่าง “ปลาหมอ คางดำ” (ความสำคัญสูงลำดับ 1) ถูกนำเข้ามาและพบการแพร่ระบาด สร้างความเสียหายต่อเกษตรกรเลี้ยงสัตว์น้ำ หรือชาวประมง โดยจากการประเมินของวิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ พบมูลค่าความเสียหายในตำบล แพรกหนามแดง อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม เพียงตำบลเดียวสูงถึง 131.96 ล้านบาท/ปี
ขณะที่ในภาพรวมของไทย จากการประเมินของ InvaCost ปี 2560 พบต้นทุนทางเศรษฐกิจมูลค่ารวมอยู่ที่ 5,175.79 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สาเหตุของการแพร่ระบาดมาจากการนำเข้าโดยเจตนาและไม่เจตนา เช่น การนำเข้าเพื่อวิจัยการเกษตร การติดมากับยานพาหนะขนส่ง การนำเข้ามาเป็นสัตว์เลี้ยง
ซึ่งช่องทางการระบาดชี้ให้เห็นถึงการขาดการกำกับ 6 ควบคุมดูแลที่เหมาะสม ในขณะที่ไทยยังไม่มีกฎหมายที่ว่าด้วยการป้องกัน ควบคุม หรือกำจัดโดยเฉพาะ ซึ่งพบ ช่องว่างการบังคับใช้ อาทิ 1) การขาดการประเมินความเสี่ยงต่อการรุกรานระบบนิเวศก่อนอนุญาตให้นำเข้า มีเพียงมาตรการการตรวจกักกันที่เน้นไปที่ป้องกันควบคุมโรคระบาด
2) การกำหนดสัตว์ชนิดอื่นในประกาศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยังไม่ครอบคลุมถึงสัตว์ต่างถิ่นรุกรานและมีแนวโน้มรุกรานชนิดอื่น ๆ
และ 3) การขาดระบบการตรวจสอบการกำจัดสัตว์ต่างถิ่น เช่น การให้ผู้ครอบครองกำจัดด้วยตนเองที่ไม่ถูกหลักวิธี ในขณะที่หลายประเทศมีการจัดการที่มีประสิทธิภาพ ดังนี้
1) การออกกฎหมายควบคุมบังคับใช้โดยเฉพาะ ญี่ปุ่น มีกฎหมาย The Invasive Alien Species Act ปี 2547 มีสาระสำคัญ ดังนี้ 1) มาตรการป้องกันการนำเข้า อาทิ การนำเข้าชนิดพันธุ์ต่างถิ่นกลุ่มที่ยังไม่ถูกจำแนก (UAS) ต้องแจ้งรายละเอียดล่วงหน้าแก่หน่วยงาน โดยห้าม นำเข้าจนกว่าจะได้รับแจ้งว่า “ไม่มีความเสี่ยง” ต่อระบบนิเวศ 2) มาตรการควบคุมและกำจัด อาทิ การรายงาน เกี่ยวกับสภาพการจัดการ IAS โดยเจ้าหน้าที่รัฐมีอำนาจตรวจสอบได้ตลอดเวลาภายใต้ขอบเขตที่จำเป็น และ 3) มาตรการลงโทษที่เข้มงวด กรณีหากเกิดผลกระทบรัฐสามารถเรียกให้บุคคล/นิติบุคคล รับผิดชอบค่าใช้จ่าย ทั้งหมดหรือบางส่วนที่จำเป็นในการดำเนินงานจัดการ พร้อมทั้งรับโทษทางอาญา อาทิ นิติบุคคลมีโทษปรับสูงสุด ถึง 50 ล้านเยน
2) การจัดทำฐานข้อมูลสายพันธุ์รุกราน เพื่อประโยชน์ในการจัดการ แคนาดา มีการจัดทำ เว็บไซต์และแอปพลิเคชัน โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเก็บข้อมูลจากการถ่ายภาพ ระบุตำแหน่ง ซึ่งข้อมูล เหล่านี้ถูกนำไปใช้ในการสนับสนุนการวางแผนเชิงนโยบาย มาตรการ และควบคุมระดับประเทศ
3) การส่งเสริม ให้มีการศึกษาและพัฒนานวัตกรรมการป้องกัน สหรัฐอเมริกา มีการศึกษาและสร้าง “กำแพงไฟฟ้า” ใต้น้ำ ทำให้ปลาหลีกเลี่ยงว่ายผ่านบริเวณดังกล่าว ซึ่งสามารถชะลอการแพร่ระบาดของปลาคาร์พเอเชียได้มากถึงร้อยละ 85 – 95 และ
4) การมีส่วนร่วมของชุมชนเพื่อการอนุรักษ์ นิวซีแลนด์ ด าเนินโครงการกำจัดชนิดพันธุ์ต่างถิ่น รุกรานและฟื้นฟูระบบนิเวศบนพื้นที่เกาะหลายแห่ง เช่น โครงการฟื้นฟูประชากรนกแก้วพื้นเมืองคาคาโปที่ใกล้ สูญพันธุ์ เหลือเพียง 51 ตัว ในปี 2538 ให้เพิ่มขึ้นได้มากถึง 252 ตัว ในปี 2565 โดยอาศัยการมีส่วนร่วมจากชุมชน ท้องถิ่นและอาสาสมัคร
อีกทั้ง ยังได้กำหนดเป้าหมายระดับชาติ “Predator Free 2050” ในการกำจัดสัตว์นักล่า ต่างถิ่นให้หมดภายในปี 2593 การดำเนินงานข้างต้นถือเป็นแนวทางที่เป็นประโยชน์สำหรับไทย
ทั้งนี้ การจัดการชนิดพันธุ์ต่างถิ่นนั้น จำเป็นต้องอาศัยวิธีการที่หลากหลาย โดยในส่วนของไทยควรมีการเร่งปรับปรุงบทกฎหมายให้เฉพาะเจาะจงหรือ ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น อีกทั้ง ยังอาจต้องพัฒนาระบบติตตาม การจัดทำฐานข้อมูล รวมถึงการสนับสนุนทุน ด้านการวิจัยเพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศจากการถอดบทเรียนพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ
ขณะเดียวกันภาคประชาสังคมและ ประชาชน ยังสามารถเฝ้าระวังป้องกันการรุกราน เช่น การไม่ปล่อยสัตว์น้ำ/พืชต่างถิ่น ลงสู่ธรรมชาติ รวมทั้ง การแจ้งรายงานหากพบเห็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นผ่านหน่วยงานรับผิดชอบหลัก เช่น กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และ พันธุ์พืช กรมประมง กรมปศุสัตว์ ฯลฯ
หรือแจ้งไปยังหน่วยงานสนับสนุน อาทิ สำนักงานนโยบายและแผน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
บทความเรื่อง “กรณีศึกษาการรับมือแผ่นดินไหวในต่างประเทศ”
ประเทศไทยมีความเสี่ยงต่อแผ่นดินไหวในระดับปานกลาง โดยมีโอกาสที่จะมีแผ่นดินไหว 6 – 8 ครั้งต่อปี ขณะที่แผ่นดินไหวที่ส่งผลต่อไทยส่วนใหญ่มีจุดศูนย์กลางนอกประเทศ อย่างไรก็ตาม แผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ส่งผลให้อาคารสาธารณะ และอาคารของหน่วยงานรัฐ ได้รับความเสียหายอย่างหนัก 48 อาคาร และเสียหายปานกลาง 304 อาคาร อีกทั้งยังทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
โดย SCB EIC ได้ประเมินความเสียหายทางเศรษฐกิจไว้ถึง 3 หมื่นล้านบาท สะท้อนให้เห็นว่าไทยยังมีข้อจำกัดในการรับมือ ซึ่งต่างประเทศมีแนวทางป้องกันและลดความสูญเสีย ดังนี้
1) การมีแผนการรับมือกับแผ่นดินไหวที่ชัดเจน โดยประเทศญี่ปุ่นมีการกำหนดบทบาทหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงมีแผนในการเตรียมความพร้อม โครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคต่าง ๆ ขณะที่ประเทศสหรัฐอเมริกามีการพัฒนาองค์ความรู้เกี่ยวกับแผ่นดินไหว 7 เพื่อใช้ในการออกแบบมาตรฐานสิ่งปลูกสร้าง ยกระดับระบบเตือนภัยล่วงหน้า และพัฒนาแนวทางการรับมือ
2) การเฝ้าระวังการเกิดแผ่นดินไหวและการประเมินผลกระทบ โดยประเทศญี่ปุ่นและนิวซีแลนด์ได้ใช้ฐานข้อมูล แผ่นดินไหวระดับประเทศหรือทั่วโลกในการวิเคราะห์เพื่อคาดการณ์ความรุนแรงและความเสียหายจากแผ่นดินไหว ที่อาจเกิดในอนาคต
3) มาตรฐานการก่อสร้างอาคารและการส่งเสริมการปรับปรุงอาคารเก่า โดยประเทศ สหรัฐอเมริกามีมาตรฐานที่ควบคุมให้โครงสร้างอาคารต้องสามารถต้านทานแรงไหวสะเทือน ซึ่งจะปรับปรุงเป็นระยะ ขณะที่ประเทศญี่ปุ่นมีการให้เงินอุดหนุนและสนับสนุนการให้สินเชื่อพิเศษเพื่อปรับปรุงอาคารร่วมด้วย
4) การสร้าง ความรู้แก่ประชาชนและซักซ้อมการรับมือกับแผ่นดินไหว โดยประเทศญี่ปุ่นได้บรรจุเนื้อหาเกี่ยวกับภัยพิบัติและ การรับมือไว้ในหลักสูตรการเรียนการสอน การออกคู่มือประจำบ้านหรือจัดทำสื่อและคู่มือการรับมือภัยพิบัติ ตลอดจน จัดให้มีการซักซ้อมอย่างสม่ำเสมอเช่นเดียวกับประเทศอิหร่าน
5) การแจ้งเตือนภัย หลายประเทศ เช่น ประเทศญี่ปุ่น และประเทศสหรัฐอเมริกา ใช้ระบบเตือนภัยแผ่นดินไหวล่วงหน้า (EEW) เพื่อตรวจจับสัญญาณคลื่นปฐมภูมิ และแจ้ง เตือนต่อสาธารณะเมื่อคาดว่าจะมีความรุนแรงถึงเกณฑ์ ผ่านระบบ Cell Broadcast โทรทัศน์ แอปพลิเคชัน วิทยุ ลำโพงชุมชน หรือระบบเตือนภัยของแต่ละรัฐ
6) การบริหารจัดการสถานการณ์ฉุกเฉิน ประเทศญี่ปุ่นจะมีการจัดตั้ง ศูนย์ประสานงานเฉพาะกิจทันที เพื่อทำหน้าที่ประสานงานและตัดสินใจเชิงนโยบายเร่งด่วน รวมถึงรายงาน ความคืบหน้าสถานการณ์ให้ประชาชนทราบ โดยการช่วยเหลือประชาชนมีตั้งแต่การกู้ภัย จัดหาศูนย์พักพิง รวมถึง ฟื้นฟูสาธารณูปโภค
นอกจากนี้ ในระดับท้องถิ่นยังมีการกำหนดจุดอพยพและเส้นทางการอพยพ รวมถึง เตรียมความพร้อมสถานที่สาธารณะเพื่อรองรับการอพยพ และ
7) การฟื้นฟูหลังการเกิดภัยพิบัติ โดยประเทศญี่ปุ่น จะมีการให้เงินสนับสนุนเพื่อซ่อมแซมที่อยู่อาศัย ซึ่งได้มีการจัดสรรงบประมาณฉุกเฉินไว้ในงบประมาณประจำปี

สำหรับประเทศไทยสามารถนำแนวทางข้างต้นมาเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับแผ่นดินไหวได้ ดังนี้
1) การปรับปรุงอาคารให้สามารถต้านทานต่อการเกิดแผ่นดินไหว ซึ่งอาจต้องสร้างความตระหนัก และส่งเสริม/ จูงใจ ให้อาคารเก่ามีการปรับปรุงและให้อาคารที่อยู่นอกพื้นที่ควบคุมมีการก่อสร้างให้ทนทานต่อแผ่นดินไหว
2) การพัฒนาระบบเตือนภัยพิบัติล่วงหน้าที่สามารถช่วยให้ประชาชนเตรียมรับมือได้อย่างถูกต้อง โดยข้อความ ที่จะแจ้งเตือนประชาชนควรบอกระดับความรุนแรงและแนวทางการปฏิบัติตน
3) การวางแนวทางในการช่วยเหลือ และฟื้นฟูหลังเกิดภัยพิบัติ ควรกำหนดบทบาทของหน่วยงานต่าง ๆ ให้ชัดเจน และอาจต้องพิจารณาตั้งงบประมาณ ประจำปีสำหรับการรับมือภัยพิบัติ และ
4) การสร้างองค์ความรู้ในการรับมือกับสถานการณ์แผ่นดินไหว แก่ประชาชน โดยอาจบรรจุเนื้อหาแผ่นดินไหวในการศึกษาภาคบังคับ จัดให้มีการซักซ้อมอย่างสม่ำเสมอ รณรงค์ และเผยแพร่ความรู้แก่ประชาชนเป็นระยะ ๆ และจัดทำคู่มือการรับมือภัยพิบัติ

