
Onlinenewstime.com : ทริสเรทติ้งปรับลดมุมมองการเติบโตของสินเชื่อกลุ่มจำนำทะเบียนรถโดยคาดว่าสินเชื่อจะเติบโตที่ระดับ 5%-10% ในปี 2568 จากเดิมที่คาดว่าสินเชื่อจะเติบโตที่ระดับ 10%-15% เนื่องจากผู้ประกอบการต่างมุ่งเน้นการเติบโตอย่างระมัดระวังเพื่อรักษาคุณภาพสินเชื่อ ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ยังอ่อนแอและมีความไม่แน่นอนสูง
รวมทั้งความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ยังเปราะบาง ประกอบกับตลาดตราสารหนี้ที่ยังมีความตึงตัว ซึ่งกระทบต่อความสามารถในการขยายสินเชื่อของผู้ประกอบการบางรายโดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลาง
รายได้และกำไรจะเติบโตได้อย่างจำกัดจากสินเชื่อที่เติบโตชะลอลง อย่างไรก็ดี การควบคุมต้นทุนในการดำเนินงาน ต้นทุนด้านเครดิตที่เริ่มปรับลดลง และอัตราดอกเบี้ยจ่ายที่คาดว่าจะเริ่มทรงตัวและปรับลดลงในระยะถัดไปจะเป็นปัจจัยสนับสนุนผลประกอบการ
คุณภาพสินเชื่อคาดว่าจะเริ่มทรงตัวและปรับดีขึ้นเล็กน้อยจากความพยายามของผู้ประกอบการในการรักษาระดับคุณภาพสินเชื่อในช่วงหลายไตรมาสที่ผ่านมา โดยมีทั้งการปรับกระบวนการอนุมัติสินเชื่อให้เข้มงวดมากขึ้น การตัดจำหน่ายหนี้สูญและขายหนี้เสียเพื่อช่วยลดระดับ NPL Ratio
อย่างไรก็ตาม คุณภาพสินเชื่อยังเป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากอาจมีการเร่งตัวขึ้นได้อีก หากสภาวะเศรษฐกิจอ่อนแอมากกว่าที่คาดการณ์ไว้จนส่งผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้

สินเชื่อทรงตัวจากความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อใหม่และการจัดการหนี้เสียเดิมเพื่อรักษาคุณภาพสินทรัพย์
ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ของปี 2568 (1Q68) สินเชื่อรวมคงค้างของผู้ประกอบการสินเชื่อจำนำทะเบียนรถที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (รวมสินเชื่อที่มีสินทรัพย์อ้างอิงประเภทอื่นด้วย เช่น ที่ดิน) มียอดคงค้างอยู่ที่ 4.13 แสนล้านบาท ทรงตัวเมื่อเทียบกับสิ้นปี 2567 และมีการเติบโตเล็กน้อย 3.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า (YOY)
การเติบโตของสินเชื่อชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัดเทียบกับการเติบโตที่ 28.1% YOY ในปี 2566 โดยปัจจัยหลักมาจากความระมัดระวังที่เพิ่มขึ้นของผู้ประกอบการในการปล่อยสินเชื่อใหม่และการจัดการควบคุมคุณภาพสินเชื่อที่มีการปล่อยไปก่อนหน้า ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
รวมไปถึงตลาดตราสารหนี้ที่ยังมีสภาวะตึงตัวอยู่ ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการบางรายจำเป็นต้องชะลอการปล่อยสินเชื่อ เพื่อนำกระแสเงินสดรับส่วนหนึ่งไปใช้สำหรับการชำระคืนหนี้ มีเพียงไม่กี่บริษัทเท่านั้นที่สินเชื่อยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
โดยบริษัทเหล่านี้จะเป็นกลุ่มบริษัทที่สามารถบริหารจัดการคุณภาพสินเชื่อได้และมีแหล่งเงินทุนเพียงพอสำหรับการขยายสินเชื่อ ในขณะที่กลุ่มบริษัทที่ยังคงต้องจัดการกับปัญหาคุณภาพสินเชื่อหรือบริษัทขนาดเล็กหรือขนาดกลางที่อาจมีข้อจำกัดทางด้านแหล่งเงินทุนเนื่องจากตลาดตราสารหนี้ยังคงมีสภาพตึงตัว พบว่าสินเชื่อมีการปรับลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
รายได้ดอกเบี้ยชะลอตัวแต่ยังขยายตัวได้ส่งผลให้กำไรเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
กำไรสุทธิในช่วงไตรมาสแรกของปี 2568 (3M68) ของกลุ่มธุรกิจจำนำทะเบียนรถที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มีการเติบโตอยู่ที่ 6.5% YOY โดยการเติบโตของกำไรสุทธิมาจากรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิที่ยังขยายตัวได้เล็กน้อยที่ 2.3% YOY ตามการขยายตัวของสินเชื่อ
อย่างไรก็ตาม การเติบโตของรายได้ดอกเบี้ยชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัดตามการขยายตัวของสินเชื่อที่ปรับลดลง ปัจจัยอื่นที่ช่วยสนับสนุนการขยายตัวของกำไรสุทธิ ได้แก่ การควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและค่าใช้จ่ายด้านเครดิตที่ลดลงเล็กน้อย แต่ปัจจัยบวกดังกล่าวถูกชดเชยบางส่วนด้วยต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
คุณภาพสินเชื่อยังเปราะบางแต่เริ่มทรงตัว
คุณภาพสินเชื่อของกลุ่มสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยังคงค่อนข้างอ่อนแอ แต่มีแนวโน้มทรงตัวมากขึ้นใน 3M68 จากการที่ผู้ประกอบการมีการปรับตัวต่อเนื่องมาหลายไตรมาส โดยมีการปรับหลักเกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อใหม่ให้เข้มงวดมากขึ้น ปรับปรุงกระบวนการติดตามหนี้ และการบริหารจัดการหนี้เสียรวมถึงการตัดจำหน่ายหนี้สูญเชิงรุก

ส่งผลให้ NPL Ratio ของกลุ่มธุรกิจนี้เริ่มทรงตัว โดย NPL Ratio ลดลงมาอยู่ที่ 3.66% ณ สิ้น 1Q68 จาก 3.75% ณ สิ้นปี 2567 ส่วนสินเชื่อกลุ่มที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัย (Stage 2) ก็มีการปรับลดลงในช่วงเวลาดังกล่าวเช่นกัน
โดยปรับลดจาก 11.89% ณ สิ้นปี 2567 เป็น 11.45% ณ สิ้น 1Q68 รวมทั้งราคารถยนต์มือสองที่เริ่มทรงตัวในระดับที่ดีขึ้นเล็กน้อยหลังจากราคารถยนต์มือสองมีทิศทางปรับลดลงมาตลอดในช่วงสองปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ เนื่องมาจากอุปทานของรถมือสองที่ลดลง ปัจจัยดังกล่าวทำให้ผลขาดทุนที่เกิดจากการขายรถถูกยึดลดลง
ในส่วนของต้นทุนทางด้านเครดิตสำหรับ 3M68 ปรับลดลงเป็น 2.88% จาก 3.16% ในปี 2567
แนวโน้มใน 12 เดือนข้างหน้า: เติบโตอย่างระมัดระวัง
ปรับลดมุมมองการเติบโตของสินเชื่อ
ทริสเรทติ้งมองว่าการเติบโตของสินเชื่อจะชะลอตัวลง โดยคาดว่าสินเชื่อจำนำทะเบียนรถจะเติบโตที่ระดับ 5%-10% จากเดิมที่คาดว่าสินเชื่อจะเติบโตได้ที่ระดับ 10%-15%
โดยแม้ว่าความต้องการสินเชื่อของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายจะยังคงอยู่ในระดับสูง แต่เนื่องจากคุณภาพสินเชื่อที่ยังอ่อนแอ ประกอบกับสภาวะเศรษฐกิจที่ยังเปราะบางและมีความไม่แน่นอนสูง
ส่งผลให้ผู้ประกอบการมุ่งเน้นการให้ความสำคัญกับการรักษาคุณภาพสินเชื่อและเน้นการเติบโตอย่างระมัดระวัง โดยขยายสินเชื่อในกลุ่มลูกค้าที่ค่อนข้างมั่นใจว่ายังมีความสามารถในการชำระหนี้เป็นหลัก ทริสเรทติ้งคาดว่าปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลให้ความรุนแรงของการแข่งขันทั้งทางด้านราคาและการขยายสาขาจะเบาบางลง การแข่งขันอาจเร่งตัวขึ้นอีกครั้งได้หากสภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัว ตลาดตราสารหนี้ลดความตึงตัว และคุณภาพสินเชื่อเริ่มมีแนวโน้มดีขึ้น

คุณภาพสินเชื่อคาดว่าจะเริ่มทรงตัวแต่ยังต้องระมัดระวัง
คุณภาพสินเชื่อคาดว่าจะเริ่มมีแนวโน้มทรงตัวและปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยได้ แม้ว่าความสามารถในการผ่อนชำระของลูกหนี้ฐานรากยังคงอ่อนแอจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง
แต่คาดว่าความพยายามของผู้ประกอบการในช่วงหลายไตรมาสที่ผ่านมาในการรักษาระดับคุณภาพสินเชื่อโดยมีการปรับเงื่อนไขและกระบวนการอนุมัติสินเชื่อให้เข้มงวดมากขึ้น ประกอบกับมีการตัดจำหน่ายหนี้สูญและขายหนี้เสียจะสามารถช่วยลดระดับ NPL Ratio ได้ ในส่วนของต้นทุนด้านเครดิตคาดว่าได้ผ่านจุดสูงสุดมาแล้ว แต่ยังคงอยู่ในระดับค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับช่วง 4-5 ปีก่อน
อย่างไรก็ตาม คุณภาพสินเชื่อยังเป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด และอาจมีการเร่งตัวขึ้นได้อีกครั้งหากสภาวะเศรษฐกิจอ่อนแอและยืดเยื้อมากกว่าที่คาดการณ์ไว้จนส่งผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้
รายได้และกำไรคาดว่าจะเติบโตอย่างจำกัด
ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้และกำไรของธุรกิจจำนำทะเบียนรถจะเติบโตได้แม้จะเป็นไปอย่างจำกัด โดยปัจจัยที่ยังช่วยผลักดันการเติบโตของรายได้และกำไรมาจากคาดการณ์การเติบโตของสินเชื่อ ค่าใช้จ่ายด้านเครดิตที่คาดว่าจะปรับลดลงจากความพยายามรักษาคุณภาพสินเชื่อของผู้ประกอบการและการควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานรวมไปถึงการขยายสาขาที่จะชะลอลง ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยจ่ายคาดว่าจะเริ่มลดลงได้เล็กน้อยในระยะถัดไปตามทิศทางของดอกเบี้ยที่อยู่ในขาลง
อย่างไรก็ตามปัจจัยดังกล่าวจะถูกชดเชยบางส่วนด้วยอัตราผลตอบแทนที่อาจมีแนวโน้มปรับตัวลดลงเนื่องจากการมุ่งเน้นปล่อยสินเชื่อใหม่ที่มีความเสี่ยงลดลง อย่างไรก็ตามอาจเห็นการปรับเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนในผู้ประกอบการบางรายที่มีการการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรับในช่วงก่อนหน้านี้และเริ่มเห็นผลของการปรับอัตราดอกเบี้ยรับหลังสัญญาเก่าสิ้นสุดลง
ทริสเรทติ้งคาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวของผลประกอบการที่ชัดเจนขึ้นในครึ่งหลังของปี 2568 เมื่อสินเชื่อมีการเติบโตสูงขึ้นและค่าใช้จ่ายด้านเครดิตมีการปรับลดลงชัดเจนมากขึ้น
รถยนต์ไฟฟ้ายังมีผลกระทบต่อธุรกิจจำนำทะเบียนอย่างจำกัด
ทริสเรทติ้งคงมุมมองว่าในปัจจุบันธุรกิจจำนำทะเบียนรถยังได้รับผลกระทบค่อนข้างจำกัดจากการเข้ามาของรถยนต์ไฟฟ้าและโดยเฉพาะการแข่งขันด้านราคา เนื่องจากธุรกิจจำนำทะเบียนรถรับหลักประกันที่ปลอดภาระแล้ว
แต่เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้าส่วนมากยังอยู่ระหว่างการผ่อนชำระ ทำให้ผู้ประกอบการส่วนมากยังไม่รับหรือมีหลักประกันเป็นรถไฟฟ้าเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก จำนวนรถไฟฟ้าสะสมทั้งหมด ณ เดือนเมษายน 2568 อยู่ที่ 266,888 คัน แม้ว่าจะมีอัตราการเติบโตที่สูงกว่ารถประเภทอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัดด้วยอัตราการเติบโตถึง 62% YOY
แต่เมื่อเทียบกับจำนวนรถจดทะเบียนสะสมทั้งหมดแล้วจะยังคิดเป็นเพียง 0.62% ของจำนวนรถจดทะเบียนสะสมทั้งหมด รวมทั้งผู้ประกอบการต่างมีความระมัดระวังในการรับจำนำทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้า เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้ายังไม่มีราคารถมือสองที่มีเสถียรภาพและมาตรฐาน
อย่างไรก็ตาม การแข่งขันราคาของรถยนต์ไฟฟ้าซึ่งส่งผลให้ราคารถยนต์น้ำมันมือสองลดลงนั้นอาจมีผลกระทบเชิงลบกับธุรกิจจำนำทะเบียนรถในแง่ที่ส่งผลให้ผลขาดทุนจากการขายรถยึดเพิ่มขึ้นได้ แต่ก็คาดว่าอยู่ในระดับที่จำกัด เนื่องจากพฤติกรรมการใช้รถยนต์ของผู้บริโภคในรถยนต์ทั้งสองประเภทยังไม่สามารถทดแทนกันได้อย่างสมบูรณ์

ประเด็นสนับสนุนและเฝ้าระวังในปี 2568
- การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ล่าช้าท่ามกลางความไม่แน่นอน: เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอนจากทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก ปัญหาเชิงโครงสร้าง หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง การเพิ่มและกระจายรายได้ที่ยังไม่เท่าเทียมและยั่งยืน ส่งผลต่อการจำกัดความสามารถในการใช้จ่ายของผู้บริโภคและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
- ผลกระทบจากมาตรการทางภาษีของประเทศคู่ค้าของไทย: ในระยะแรกมาตรการทางภาษีจากประเทศคู่ค้าของไทยจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคธุรกิจ ทั้งการผลิตและการส่งออกของไทย หากสถานการณ์ยืดเยื้อ ในท้ายที่สุดอาจมีผลต่อการจ้างงาน รายได้ และความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ในกลุ่มนี้
- ปัญหาคุณภาพสินเชื่อ: ลูกหนี้ที่มีคุณภาพเครดิตเปราะบางยังมีจำนวนมาก สะท้อนจากตัวเลขอัตราส่วนสินเชื่อที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ (Special mention loans) ที่ยังอยู่ในระดับสูง ทำให้ผู้ประกอบการยังคงต้องบริหารคุณภาพสินทรัพย์อย่างใกล้ชิดและเข้มงวด พร้อมด้วยมาตรการติดตามหนี้เชิงรุกเพื่อลดความเสี่ยงที่ลูกหนี้จะตกชั้นเป็นลูกหนี้ด้อยคุณภาพ
- มาตรการคุณสู้เราช่วย: โครงการคุณสู้เราช่วยมีเป้าหมายในการช่วยเหลือลูกหนี้โดยการปรับโครงสร้างหนี้แบบลดค่างวดและพักภาระดอกเบี้ยเป็นระยะเวลา 3 ปี แต่เนื่องจากมีข้อจำกัดที่กำหนดให้ผู้เข้าร่วมโครงการไม่สามารถก่อหนี้ใหม่เพิ่มได้ใน 12 เดือนแรกหลังเข้าร่วมโครงการ จึงทำให้จำนวนลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการมีไม่มากนัก โดยคิดเป็นสัดส่วนเพียงประมาณ 1-2% ของสินเชื่อรวมของผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ ทำให้คาดว่าผลกระทบทั้งในแง่ของอัตราผลตอบแทนของผู้ประกอบการที่อาจจะปรับลดลงและการชะลอตัวของการตกชั้นของลูกหนี้จะเป็นไปอย่างจำกัด
- การบริหารกระแสเงินสดอย่างระมัดระวัง: ในภาวะที่ตลาดตราสารหนี้ซึ่งเป็นแหล่งเงินทุนหลักอีกแหล่งหนึ่งของผู้ประกอบการยังมีความอ่อนไหว การบริหารกระแสเงินสดอย่างระมัดระวังเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญเพื่อให้สามารถชำระคืนหนี้ได้ตรงตามกำหนดเวลา มิฉะนั้นจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนและส่งผลกระทบต่อการระดมทุนใหม่ในอนาคตได้
ปัจจัยเสี่ยง (Risk Factors)
ธุรกิจกลุ่มจำนำทะเบียนรถเผชิญความเสี่ยงหลัก ได้แก่
ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk):
แหล่งเงินทุนของบริษัทจำนำทะเบียนรถที่เป็นนอนแบงก์มีความมั่นคงน้อยกว่าธนาคารและบริษัทลูกของธนาคาร เนื่องจากไม่สามารถระดมเงินฝากหรือพึ่งพาธนาคารแม่ได้ แหล่งเงินทุนของบริษัทเหล่านี้นอกจากฐานทุนจะมาจากเงินกู้จากสถาบันการเงินและการออกตราสารหนี้ ซึ่งเสี่ยงต่อปัญหาสภาพคล่องหากไม่สามารถจัดหาเงินทุนเพื่อชำระคืนหนี้ได้
ความเสี่ยงนี้สามารถลดลงได้หากบริษัทมีการจัดการความสอดคล้องของอายุสินทรัพย์และหนี้สินที่ดี กระจายวันครบกำหนดของเงินกู้ให้สอดคล้องกับกระแสเงินสดจากการชำระคืนของลูกหนี้ แต่ความเสี่ยงนี้อาจเพิ่มขึ้นในช่วงที่ตลาดตึงตัวจากความไม่มั่นใจของนักลงทุน
ความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk):
กลุ่มลูกค้าหลักของธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียนรถส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเปราะบางรายได้น้อย อาจเข้าถึงบริการทางการเงินจากธนาคารได้ยาก เนื่องจากมีความเสี่ยงด้านเครดิตสูงกว่าลูกค้าของธนาคาร แต่เนื่องจากเป็นสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน และลูกหนี้มีความเป็นเจ้าของรถมาแล้ว
ประกอบกับวงเงินสินเชื่อที่ส่วนใหญ่อยู่ในระดับต่ำหรือไม่สูงเทียบเท่ากับราคาตลาด ทำให้อัตราการทิ้งรถไม่สูงเท่ากับสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ความสามารถในการประเมินราคาหลักประกัน การรู้จักและเข้าถึงลูกค้า ความสามารถในการติดตามหนี้เป็นปัจจัยที่สำคัญในการควบคุมคุณภาพสินเชื่อ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังช้าและค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพที่สูงขึ้น ล้วนเพิ่มแรงกดดันต่อความเสี่ยงด้านเครดิต
ความเสี่ยงด้านปฏิบัติการ (Operational Risk):
แม้ว่าธุรกิจจำนำทะเบียนรถจะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ธปท. แต่บริษัทจำนำทะเบียนรถที่เป็นนอนแบงก์ซึ่งไม่ได้เป็นบริษัทลูกในเครือธนาคารมักมีมาตรฐานและการควบคุมที่ไม่เข้มงวดเท่าธนาคาร ระบบปฏิบัติงานของบริษัทเหล่านี้ยังพึ่งพาบุคคลเป็นส่วนใหญ่ ทำให้มีความเสี่ยงต่อความผิดพลาดจากการทำงาน การปฏิบัติตามกฎระเบียบ และการทุจริตฉ้อโกง
ความเสี่ยงด้านตลาด (Market Risk):
ความเสี่ยงด้านตลาดเกิดจากการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยที่ทำให้ต้นทุนทางการเงินของบริษัทสูงขึ้น ขณะเดียวกัน ราคารถมือสองลดลงอย่างมากเนื่องจากอุปทานที่สูงจากการเพิ่มขึ้นของรถยึดซึ่งเกิดจากหนี้เสีย
ที่ขยายตัว ส่งผลกระทบต่อราคาประเมินของหลักประกันและอาจทำให้บางบริษัทประสบปัญหาการขาดทุนจากการขายรถยึด
ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบและกฎหมาย (Regulatory Risk):
การเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบต่างๆ สร้างความเสี่ยงทางกฎหมายที่สำคัญต่อการดำเนินงานและกลยุทธ์ของบริษัท เช่นการกำหนดเพดานอัตราดอกเบี้ย การกำกับดูแลด้านการให้บริการลูกค้าอย่างเป็นธรรม ค่าปรับ การขอความร่วมมือช่วยเหลือลูกหนี้ในสถานการณ์ต่างๆ รวมถึงค่าใช้จ่ายที่สามารถเรียกเก็บจากลูกหนี้
แม้การกำกับดูแลในเรื่องต่างๆ นี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค แต่ก็ส่งผลกระทบต่อรายได้และทำให้ผู้ประกอบการรายเล็กที่มีข้อเสียเปรียบในด้านต้นทุนทางการเงินและต้นทุนในการดำเนินงานอาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขันกับผู้ประกอบการรายใหญ่ รวมถึงผู้ประกอบการต้องจำกัดกลุ่มลูกค้าโดยเน้นกลุ่มที่มีความเสี่ยงด้านเครดิตไม่สูงมาก ซึ่งจะส่งผลต่อการขยายสินเชื่อ