fbpx
News update

ส่งเสริมผ้าไหมไทยต่อเนื่อง เชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวเมืองรอง

Onlinenewstime.com : กระทรวงพาณิชย์ สร้างการรับรู้และประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทย เชื่อมโยงการท่องเที่ยวเมืองรองอย่างต่อเนื่อง ภายใต้แคมเปญ “เส้นทางสายไหม…สู่เมืองรอง” มุ่งหน้าจังหวัดสกลนคร – กาฬสินธุ์ เล่าเรื่องราววัฒนธรรมผ้าไหมท้องถิ่นอีสาน และการท่องเที่ยวเข้าไว้ด้วยกัน

นางลลิดา จิวะนันทประวัติ รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า “กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้จัดกิจกรรมสร้างการรับรู้ผลิตภัณฑ์ผ้าไหมเชื่อมโยงการท่องเที่ยวเมืองรอง โครงการยกระดับการตลาดผลิตภัณฑ์ผ้าไหม สู่แหล่งท่องเที่ยว ภายใต้แคมเปญ “เส้นทางสายไหม…สู่เมืองรอง”

โดยเน้นสร้างการรับรู้ และประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทย เชื่อมโยงต่อยอดสู่แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ กระตุ้นให้เกิดการบริโภค และซื้อผลิตภัณฑ์ผ้าไหม สินค้า และบริการในเมืองรองมากขึ้น โดยการจัดกิจกรรมฯ ครั้งนี้ เป็นเส้นทางท่องเที่ยวสายไหมสู่เมืองรอง เส้นทางที่ 2 โดยจะเดินทางไป ณ จังหวัดสกลนครและกาฬสินธุ์ เพื่อเชื่อมโยงผ้าไหมประจำถิ่นกับการท่องเที่ยวของทั้ง 2 จังหวัดเข้าด้วยกัน” 

“การลงพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ระหว่างวันที่ 18 – 20 พฤศจิกายน 2562 ครั้งนี้ ได้นำคณะสื่อมวลชน รวมถึง บล็อกเกอร์ที่มีชื่อเสียงด้านการท่องเที่ยวและไลฟ์สไตล์ ร่วมลงพื้นที่ฯ เพื่อสัมผัสวิถีชุมชน และวัฒนธรรมผ้าไหมในแต่ละท้องถิ่นอย่างใกล้ชิด พร้อมถ่ายทอดความประทับใจที่ได้พบเห็น

สร้างแรงจูงใจ ให้สาธารณชนหันมาตระหนักถึงคุณค่า ของผลิตภัณฑ์ผ้าไหม ซึ่งจะเป็นสิ่งช่วยกระตุ้นการตัดสินใจเลือกซื้อ/เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ผ้าไหม รวมถึง สินค้า และบริการต่างๆ ในจังหวัดเมืองรองมากขึ้น

ทั้งนี้ มุ่งหวังสร้างความก้าวหน้า ให้แก่เศรษฐกิจฐานรากของประเทศให้มีความแข็งแกร่ง”

รองอธิบดีฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า “สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ การสร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่ หันมาสนใจนำผ้าไหมไทย มาใช้ในชีวิตประจำวันมากขึ้น มีการสื่อสารให้เกิดมุมมองใหม่ว่า ผ้าไทยสามารถแต่งกายให้ดูร่วมสมัยได้

รวมทั้ง กระตุ้นแนวคิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ให้ตอบโจทย์ผู้บริโภค และส่งเสริมลูกหลานในชุมชนแหล่งผลิต หันมาสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นการผลิตผ้าไหมไทยมากขึ้น นอกจากนี้ ต้องมีการนำเรื่องราวของสินค้ามาถ่ายทอด เพื่อดึงดูดความสนใจ

โดยเฉพาะตลาดวัยรุ่น ที่ต้องการสินค้าที่มีความทันสมัยและร่วมสมัย ผู้ผลิตจึงควรพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคกลุ่มนี้

ปัจจุบันสินค้าไลฟ์สไตล์มีหลากหลายประเภท ผู้ผลิตสามารถผลิต และดัดแปลงสินค้าจากผ้าไหมให้มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น ผ้าผืน สามารถนำมาตัดเย็บ ให้อยู่ในรูปแบบที่พร้อมใช้งาน เพื่อง่ายต่อการตัดสินใจของลูกค้ามากขึ้นเช่นเดียวกัน”

เส้นทางสายไหมสู่เมืองรองจังหวัดสกลนคร

เริ่มต้นเข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง “วัดพระธาตุเชิงชุมวรวิหาร” ปูชนียสถานและศูนย์รวมจิตใจของพุทธศาสนิกชนชาวสกลนคร และ “วัดถ้ำผาแด่น” วัดเก่าแก่ที่ตั้งเด่นตระหง่าน บนแนวเทือกเขาภูพาน โดยสามารถชมได้ทั้งทิวทัศน์ธรรมชาติแบบอันซีนของจังหวัด พร้อมความงดงามของงานแกะสลัก บนหน้าผาหินอันวิจิตรศิลป์

และที่พลาดไม่ได้ คือ ได้เดินทางไปสัมผัสแหล่งผ้าไหมท้องถิ่นขึ้นชื่อ ของสกลนคร จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ กลุ่มผ้าไหมย้อมคราม อ.โคกศรีสุพรรณ เป็นแหล่งผลิต ที่จะได้ชมทั้งกระบวนการทอผ้า สาวไหม และย้อมคราม *ร้านครามสกล อ.เมือง งานคราฟสวยๆ ที่สร้างชื่อเสียง ให้แก่สกลนครเป็นอย่างมาก ผู้มาเยี่ยมชมสามารถเรียนรู้ และทดลองทำผ้ามัดย้อมได้ด้วยตนเอง รวมถึง เลือกซื้อผลิตภัณฑ์ผ้าไหมแท้ๆ เป็นของฝากกลับบ้านได้อีกด้วย”

เส้นทางสายไหมสู่เมืองรองจังหวัดกาฬสินธุ์

ได้เยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่ออย่าง “พิพิธภัณฑ์สิรินธร” หรือ “ศูนย์ศึกษาวิจัยและพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูกุ่มข้าว” ซึ่งเป็นแหล่งเรียนรู้เรื่องราวไดโนเสาร์แบบครบวงจร และสมบูรณ์แบบที่สุดแห่งแรกของประเทศไทย

หลังจากนั้นเดินทางไปเรียนรู้เรื่องราวของผลิตภัณฑ์ผ้าไหม 2 แห่ง ณ อ.คำม่วง ได้แก่ *กลุ่มทอผ้าบ้านหนองยางคำ ซึ่งเป็นทั้งแหล่งผลิตผ้าไหมพื้นบ้านที่สวยงาม มีกระบวนการทอผ้า และย้อมสี

โดยขั้นตอนการทอและย้อม จะนำเส้นไหมแช่น้ำให้อิ่มตัว นำลงไปใน “น้ำครั่ง” ที่ได้จาก “แซงมะพร้าว” แล้วนำกลับมาล้างให้สะอาด หลังจากนั้น นำมาย้อมด้วยสีธรรมชาติที่เตรียมไว้ เช่น สีแดงอมชมพูจากแก่นฝาง สีเหลืองจากดอกคูณ ฯลฯ เป็นต้น

รวมถึง มีผลิตภัณฑ์ผ้าไหม ราคาย่อมเยาจำหน่ายด้วย และ *กลุ่มอาชีพสตรีผ้าไหมมัดหมี่บ้านสูงเนิน เป็นแหล่งผลิตผ้าไหมมัดหมี่ที่มีชื่อเสียง (ผ้าไหมมัดหมี่ภูไท) โดยมีการสาธิตการปลูกหม่อน-เลี้ยงไหม สาวไหม ย้อมผ้า รวมถึงขั้นตอน การมัดหมี่ และแต้มสี ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่สร้างความภาคภูมิใจให้กับชาวกาฬสินธุ์เป็นอย่างมาก”

“ทั้งนี้ แหล่งผลิตเส้นไหม และผลิตภัณฑ์จากไหมที่ใหญ่และสำคัญที่สุดในประเทศไทย อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ จังหวัดอุบลราชธานี มหาสารคาม หนองคาย ขอนแก่น บุรีรัมย์ นครราชสีมา สุรินทร์ สกลนคร ศรีสะเกษ ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ และ ชัยภูมิ ซึ่งปัจจุบัน มีโรงงานขนาดใหญ่ผลิตเพื่อการส่งออกประมาณ 10 โรง

มีการประกอบธุรกิจแบบครบวงจร ตั้งแต่การปลูกหม่อนเลี้ยงไหม การผลิตเส้นไหม การทอผ้าไหม การผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูป และผลิตภัณฑ์อื่นๆ เพื่อจำหน่ายทั้งภายในประเทศ และส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ จึงนับเป็นโอกาสอันดี ที่จะทำให้ผ้าไหมไทยเป็นที่รู้จักในระดับสากล รวมทั้ง ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น ให้มีความเข้มแข็งและยั่งยืนมากขึ้นด้วยเช่นกัน”