Onlinenewstime.com : การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ที่นับวันจะส่งผลกระทบรุนแรงมากขึ้น ทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม ทำให้ทั่วโลกผนึกกำลังร่วมกันหาสมดุล เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน โดยมี ESG เป็นตัวขับเคลื่อน นำมาสู่กติกาใหม่ของโลกในหลายด้าน
ทีเอ็มบีธนชาต หรือ ทีทีบี จึงได้จัดเสวนาพิเศษ Empower Business towards Environmental Sustainability ตอกย้ำทุกภาคส่วนให้ตระหนักถึงความสำคัญและกระตุ้นให้ผู้ประกอบการเร่งปรับกลยุทธ์ธุรกิจให้สอดรับกับ ESG โดยมี บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ร่วมพูดคุยถึงวิสัยทัศน์ กลยุทธ์ และการปรับตัวเพื่อก้าวสู่ความเป็น Blue Finance
นายศรัณย์ ภู่พัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารลูกค้าธุรกิจ ทีเอ็มบีธนชาต กล่าวว่า “ESG คือ วิธีการบริหารธุรกิจอย่างรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมซึ่งมีมานานแล้ว โดยในอดีตอยู่ในรูปแบบของการขอความร่วมมือ แต่ปัจจุบันเริ่มมีไม้แข็งจากกฎเกณฑ์ต่าง ๆ มาบังคับใช้
หากไม่ปฏิบัติตามก็อาจจะทำการค้าขายกับประเทศที่ออกกฎไม่ได้ โดยยุโรปถือเป็นแนวหน้าออกมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism: CBAM)
สินค้ากลุ่มแรก เช่น เหล็ก อลูมิเนียม ปุ๋ย และซีเมนต์ และสหรัฐฯ ที่เป็นประเทศคู่ค้าสำคัญของไทยก็กำลังพิจารณากฎหมายที่มีแนวคิดเดียวกับ CBAM คาดว่าจะบังคับใช้ในปี 2567 ส่วนประเทศไทยก็มีการออกมาตรฐานกลางที่ใช้อ้างอิงในการจำแนกและจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของไทย (Thailand Taxonomy) โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทำให้กระแส ESG ปรับตัวเร็วขึ้น”
วันนี้เรื่องของ ESG ได้ขยายวงกว้างออกไป ลูกค้า พันธมิตรทางธุรกิจ และพนักงานก็ได้ให้ความสำคัญอย่างสูงเช่นกัน ตัวอย่างเช่น ในสหรัฐอเมริกาได้ทำการสำรวจและพบว่ามีลูกค้ามากถึง 60% ยอมจ่ายเงินเพิ่มเพื่อสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และพนักงานมากกว่า 80% รู้สึกภูมิใจและอยากทำงานกับบริษัทที่มีจุดยืนด้าน ESG
สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่าคนในสังคมเริ่มตื่นรู้และตระหนักว่าถ้าไม่เริ่มเปลี่ยนแปลง และไม่เปลี่ยนวิธีการดำเนินธุรกิจ ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงสังคมจะรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ สุดท้ายจะวกกลับมากระทบกับธุรกิจ ดังนั้น ESG จึงไม่ใช่แค่กระแสอย่างแน่นอน และไม่ใช่ปรากฏการณ์ใหม่ แต่เป็นวิถีใหม่ที่เป็นประโยชน์กับทุกคนเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน
แม้ธุรกิจธนาคารจะเป็นธุรกิจที่สร้างก๊าซเรือนกระจกค่อนข้างน้อย แต่ในฐานะผู้ปล่อยกู้ให้กับทุกอุตสาหกรรม หน้าที่ของทีทีบี คือ การสนับสนุน (Empower) ให้ผู้ประกอบการเติบโตได้อย่างยั่งยืน ผ่าน 2 เรื่องหลัก ได้แก่ 1. สร้างความตื่นรู้ โดยการให้คำปรึกษาและเพิ่มองค์ความรู้เชิงลึกต่อการทำธุรกิจในวิถีนี้ อาทิ โครงการ finbiz by ttb ที่เป็นศูนย์กลางความรู้ให้ผู้ประกอบการในทุกแพลตฟอร์ม
มีเนื้อหาในเรื่องความท้าทายของผู้ประกอบการ รวมถึงเรื่อง ESG และหลักสูตร LEAN for Sustainable Growth by ttb ให้องค์ความรู้ผ่านการจัดอบรมมาตลอดกว่า 10 ปี ซึ่งได้เริ่มนำหัวข้อ ESG เข้าเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตร
2. สร้างแรงจูงใจและสนับสนุนโครงการที่มุ่งเน้นในเรื่อง ESG เช่น การปล่อยสินเชื่ออาคารสีเขียวที่ได้รับการรับรองว่าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง โครงการสนับสนุนให้ลูกค้าเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เป็นต้น
โดยทีทีบีเชื่อว่าการปล่อยสินเชื่ออย่างรับผิดชอบผ่านโครงการดี ๆ จะสร้างผลกระทบให้กับสังคมได้ สุดท้ายก็จะสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเติบโตอย่างยั่งยืน
นายศรัณย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “ทีทีบี มุ่งมั่นขับเคลื่อนสู่การเป็นธนาคารเพื่อความยั่งยืน(Sustainable Banking) ตามหลัก ESG ที่เป็นอีกหน้าที่ของธนาคารที่ต้องการให้การสนับสนุนลูกค้า คู่ค้า พันธมิตรทางธุรกิจ และสังคมให้สามารถดำเนินชีวิตและธุรกิจได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป เพราะธนาคารเชื่อว่าเรื่องของการดำเนินธุรกิจและความยั่งยืนไม่สามารถแยกออกจากกันได้”
ในมุมของผู้ประกอบการ นายยงยุทธ เสฎฐวิวรรธน์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายการบริหารการเงินกลุ่มและศูนย์บริการร่วมทางการเงิน บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป เล่าถึงจุดเปลี่ยนและการปรับตัวว่า ในปี 2557 ประเทศไทยถูก Trafficking in Persons Report (TIP) จัดอันดับให้อยู่ใน Tier 3 ในเรื่องการดูแลแรงงานและสวัสดิภาพความเป็นอยู่ของแรงงาน
ส่งผลให้สินค้าที่มาจากประเทศไทยเผชิญปัญหาส่งออกไปยังประเทศฝั่งตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก และปีถัดมา 2558 ก็เจอปัญหาการประมงโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย (IUU Fishing) ของสหภาพยุโรปถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ
ไม่ใช่แค่อุตสาหกรรมแต่รวมถึงประเทศไทยด้วย ดังนั้น แม้ว่าไทยยูเนี่ยนฯ จะปฏิบัติตามกฎหมายก็ยังได้รับผลกระทบจากอุตสาหกรรมในภาพรวม จึงมีความตั้งใจผลักดันเรื่องนี้อย่างเต็มที่ ซึ่งสอดคล้องกับรัฐบาลที่ต้องการปรับกระบวนการมาตรฐานของความยั่งยืนในประเทศทั้งหมด
“ปีที่เจอวิกฤต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเรา คือ คุณธีรพงษ์ จันศิริ บอกว่าเรื่องความยั่งยืนเป็น License to Operate แปลว่า ถ้าไม่ทำเรื่องนี้เราอาจจะเดินหน้าธุรกิจต่อไปไม่ได้แล้ว เราในฐานะผู้นำธุรกิจอาหารทะเลของโลก จึงได้เดินหน้าคิดค้นกลยุทธ์และปรับตัวครั้งสำคัญ ในปี 2559 เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน ภายใต้กลยุทธ์ความยั่งยืน หรือ SeaChange®
โดยมีวัตถุประสงค์หลัก คือ ความยั่งยืนของท้องทะเล เพราะถ้าไม่มีทะเลก็ไม่มีธุรกิจของเรา และนำมาดูแลความเป็นอยู่ของผู้คน เพราะอาหารทะเลเป็นแหล่งโปรตีนที่ถูกและมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อย และเรื่องแรงงาน รวมถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยในปี 2559-2563 บริษัทสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 28%”
ภายใต้กลยุทธ์ SeaChange® ที่ประกาศเมื่อปี 2559 นั้นจะครอบคลุมในเรื่องการดูแลความเป็นอยู่ของแรงงาน ให้มีการจ้างอย่างถูกต้องรวมถึงดูแลความปลอดภัยให้มีชีวิตที่ดีขึ้น รวมไปถึง Responsibility Sourcing การจัดหาวัตถุดิบอย่างมีความรับผิดชอบ
โดยคำนึงถึงกฎเกณฑ์การทำประมงให้ถูกหลักเกณฑ์ของเวทีโลก และ Responsibility Operation การดำเนินงานต้องเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม นอกจากนี้ ยังดูแลในเรื่อง People and Communities การตอบแทนสังคม
ซึ่งปัจจุบันไทยยูเนี่ยนกำลังจะประกาศกลยุทธ์และเป้าหมายไปจนถึงปี 2573 หรือ SeaChange®2030 เพิ่มความกว้างและลึกขึ้นในทุกมิติครอบคลุมทั้งซัพพลายเชน ทำให้ความสัมพันธ์กับซัพพลายเออร์และคู่ค้าในแง่เป้าหมายของความยั่งยืนผูกกันแน่นขึ้น
ซึ่งไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ต้องการสร้างมาตรฐานให้อุตสาหกรรม เพื่อกำหนดเป็นเป้าหมายเดียวกัน จนสามารถก้าวสู่ความเป็น Blue Finance หรือ การเงินที่ส่งเสริมความยั่งยืน
“ESG ไม่ใช่กระแส แต่เป็นของจริงที่ทุกคนต้องเจอแน่ ๆ และความเข้มข้นจะมากขึ้นเรื่อย ๆ เราเห็นผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศชัดเจน ซึ่งมีผลกระทบต่อทุกธุรกิจ ดังนั้นทางเลือกคือจะเลี่ยงหรืออยู่ด้วยกัน ผมขอแนะนำว่าควรเรียนรู้ที่จะอยู่ด้วยกัน
วันนี้โลกมีกติกาชัดขึ้น การอยู่ร่วมกับกระแส ESG เราจำเป็นต้องปรับตัว และนับเป็นเรื่องดีที่ทีทีบีมีโปรแกรมสนับสนุนเรื่องความยั่งยืน ซึ่งการ Empower เป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะธนาคารเป็นคนปล่อยกู้ให้กับอุตสาหกรรมจำนวนมาก ยิ่งเรื่องนี้ขยายวงออกไปครอบคลุมถึงซัพพลายเชน ธนาคารก็จะยิ่งมีบทบาทสำคัญเรื่องความยั่งยืนมากขึ้น” นายยงยุทธ กล่าวทิ้งท้าย