fbpx
News update

ครม.ไฟเขียวร่างกฎหมาย “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” ฉบับแรกของไทย เดินหน้าเก็บภาษีคาร์บอน–ตั้งกองทุนภูมิอากาศ หนุนเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

Onlinenewstime.com : รัฐบาลอนุมัติหลักการร่าง พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ฉบับประวัติศาสตร์ ( วันที่ 2 ธันวาคม 2568) ตั้งเป้าพาไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำตามพันธกรณีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ  (United Nations Framework Convention on Climate Change)

จัดตั้ง “กองทุนภูมิอากาศ” ระบบซื้อขายคาร์บอนเครดิต ภาษีคาร์บอน 31 รายการ และกลไกปรับราคาคาร์บอนข้ามพรมแดน พร้อมวางโครงสร้างคณะกรรมการ 4 ชุด ขับเคลื่อนประเทศสู่ Net Zero ปี 2608

ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. ….

คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. … และรับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว

ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. …. ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เสนอ เป็นการยกระดับกฎหมายจากระเบียบ (ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม) เป็นพระราชบัญญัติ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพในการปรับตัวของประเทศไทยต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อันจะนำไปสู่การป้องกันและลดความรุนแรงของปัญหาที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกผ่านการดำเนินงานร่วมกับนานาประเทศ

โดยมีเป้าหมายที่สอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศ ในฐานะภาคีสมาชิกกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วย การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change : UNFCC) เพื่อรักษาไว้ซึ่งคุณภาพและความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยและความปลอดภัยในชีวิตและคุณภาพชีวิตของประชาชนรุ่นหลังและมนุษยชาติ

ตลอดจนบรรลุการพัฒนาทางเศรษฐกิจแบบเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี พ.ศ. 2593 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปีพ.ศ. 2608 ซึ่งร่างพระราชบัญญัตินี้มีสาระสำคัญ ดังนี้

1.กำหนดให้มีคณะกรรมการ 4 คณะ ได้แก่ (1) คณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ มีอำนาจหน้าที่ เช่น เสนอนโยบาย เป้าหมายและมาตรการด้านการลดก๊าซเรือนกระจก เสนอแผนแม่บท แผนลดก๊าซเรือนกระจก และแผนการปรับตัวเสนอแนวทางและท่าทีในการเจรจาในเวทีระหว่างประเทศ

(2) คณะกรรมการกองทุนภูมิอากาศ มีอำนาจหน้าที่ เช่น กำหนดนโยบายและออกระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ และคำสั่งในการบริหารกิจการของกองทุน และปฏิบัติการอื่นใดเพื่อให้เป็นในวัตถุประสงค์ของกองทุน

(3) คณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานของกองทุน มีอำนาจหน้าที่ เช่น ประเมินผลสัมฤทธิ์ตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายของกองทุน รายงานข้อจำกัดหรืออุปสรรคของการดำเนินกิจการของกองทุน

และ (4) คณะกรรมการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (จัดตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2550) โดยเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ตามร่างพระราชบัญญัตินี้ เช่น กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการตรวจวัดจัดทำ ทวนสอบ และนำส่งรายงานปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

2.กำหนดให้จัดตั้งกองทุนภูมิอากาศ โดยมีฐานะเป็นนิติบุคคลและเป็นหน่วยงานรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการ เพื่อเป็นแหล่งเงินทุนสำหรับใช้จ่ายในการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ มุ่งสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน เสมอภาคและเป็นธรรม สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและศักยภาพให้กับประเทศไทยในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

โดยกำหนดให้เงินและทรัพย์สินของกองทุนมาจากรายได้ต่าง ๆ เช่น เงินรายได้ที่เกิดขึ้นจากระบบการซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เงินรายได้ที่เกิดขึ้นจากกลไกการปรับราคาคาร์บอนข้ามพรมแดน เงินค่าธรรมเนียมจากการอนุญาตการใช้คาร์บอนเครดิต เงินรายได้ที่เกิดขึ้นจากมาตรการ หรือกลไกต่าง ๆ เงินอุดหนุน เงินหรือทรัพย์สินอื่นที่ได้รับจากภาคเอกชนทั้งภายในและภายนอกประเทศ เงินค่าปรับเป็นพินัย

ทั้งนี้ เงินและทรัพย์สินของกองทุนที่ได้รับดังกล่าว ไม่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ กฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง และกฎหมายว่าด้วยการปรับเป็นพินัย และกำหนดให้กองทุนมีอำนาจกระทำกิจการต่าง ๆ เช่น ถือกรรมสิทธิ์มีสิทธิครอบครอง และมีทรัพยสิทธิต่าง ๆ ก่อตั้งสิทธิ หรือกระทำนิติกรรมใด ๆ หาประโยชน์จากทรัพย์สินของกองทุน และกระทำการอื่นใดเพื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของกองทุน

1.3 กำหนดให้จัดทำฐานข้อมูลก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ซึ่งเป็นข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์จากแหล่งกำเนิดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ถูกดูดกลับโดยธรรมชาติ หรือกิจกรรมของมนุษย์ และปริมาณการลดก๊าซเรือนกระจกสุทธิตามกรอบระยะเวลาของแผนลดก๊าซเรือนกระจก โดยให้หน่วยงานของรัฐและเอกชนมีหน้าที่จัดเก็บและรายงานทั้งมูลกิจกรรม เพื่อใช้ในการจัดทำฐานก๊าซเรือนกระจก

1.4 กำหนดให้คณะกรรมการนโยบายฯ จัดทำแผนปฏิบัติการ เรียกว่า “แผนปฏิบัติการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ” เพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินงานของหน่วยงานของรัฐตามเป้าหมายด้านการ
ลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยให้สอดคล้องกับแผนแม่บท

1.5 กำหนดให้มีระบบซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมมีหน้าที่และอำนาจ เช่น จัดให้มีระบบทะเบียนและบัญชี เพื่อการจัดการข้อมูลเกี่ยวกับระบบการซื้อขายสิทธิ ดำเนินการให้นิติบุคคลควบคุมได้รับการจัดสรรสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
(โดยวิธีการให้เปล่าหรือการประมูล) ตามแผนการสรรสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยนิติบุคคลควบคุมต้องยื่นคำขอเพื่อรับการจัดสรรสิทธิอย่างน้อย 8 เดือน ก่อนวันเริ่มต้นของระยะเวลาจัดสรร ทั้งนี้ นิติบุคคลควบคุมสามารถโอน รับโอน ซื้อ หรือขาย ซึ่งสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกระหว่างกันได้ในศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าหรือช่องทางที่กำหนดในกฎกระทรวง สามารถนำคาร์บอนเครดิตที่เข้าข่ายตามเกณฑ์ที่กำหนดมายื่นคำขอให้แปลงเป็นสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้และนิติบุคคลควบคุมต้องคืนสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่ากับปริมาณก๊าซเรือนกระจกให้แก่กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมภายใน 6 เดือน นับตั้งแต่วันสิ้นสุดของแต่ละปีดำเนินการ

1.6 ให้มีกลไกการปรับราคาคาร์บอนข้ามพรมแดน เพื่อจัดการกับการรั่วไหลของคาร์บอนและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการผลิตสินค้านำเข้าตามที่กำหนดในกฎกระทรวง โดยผู้นำเข้าต้องขึ้นทะเบียนและชำระราคาใบรับรองการปรับราคาคาร์บอนของสินค้าที่นำเข้าตามที่กำหนดดังกล่าว เป็นจำนวนเท่ากับปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ระบุไว้ในปีปฏิทินก่อนหน้าให้แก่กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ภายใน 5 เดือน นับแต่วันสิ้นสุดปีปฏิทิน ทั้งนี้ ผู้นำเข้าอาจนำหลักฐานการชำระราคาคาร์บอนที่ได้ชำระไปแล้ว
ตามกฎหมายในประเทศผู้ผลิตสินค้าที่นำเข้ามาเพื่อขอลดหย่อนราคาที่ต้องชำระสำหรับใบรับรองการปรับราคาคาร์บอนได้

1.7 กำหนดให้มีภาษีคาร์บอนที่เรียกเก็บจากสินค้า 31 ประเภท และอาจกำหนดสินค้าอื่น ๆ เพิ่มเติม โดยออกเป็นกฎกระทรวง โดยให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรม หรือผู้นำเข้ามีหน้าที่เสียภาษีตามปริมาณของสินค้าตามพิกัดอัตราภาษีที่กำหนดในกฎกระทรวงไม่เกินอัตราที่ระบุไว้ในบัญชีพิกัดอัตราภาษีท้ายพระราชบัญญัตินี้ (ไม่เกิน 12-120 บาท/หน่วยสินค้า เช่น น้ำมันเบนซินออกเทน 91 ภาษีคาร์บอน 80 บาท/ลิตร ดีเซลหมุนเร็ว บี 7ภาษีคาร์บอน 93 บาท/ลิตร) กำหนดการยื่นแบบรายการภาษีและการชำระภาษี โดยให้กรมสรรพสามิตและ
กรมศุลกากร เป็นผู้เรียกเก็บภาษีคาร์บอน กำหนดให้เจ้าพนักงานสรรพสามิตและพนักงานศุลกากร มีอำนาจประเมินภาษี เบี้ยปรับ และเงินเพิ่ม กำหนดให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีมีสิทธิอุทธรณ์กำหนดให้ผู้ประกอบอุตสาหกรรมมีสิทธิขอลดหย่อนภาษีได้ และมีสิทธิได้รับคืนเงินภาษีได้ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด กำหนดการบังคับชำระภาษีค้าง และกำหนดการจัดเก็บเงินภาษีเพิ่มขึ้น เพื่อราชการส่วนท้องถิ่น ตามอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง แต่ไม่เกินร้อยละ
10 ของภาษี

1.8 กำหนดให้คาร์บอนเครดิตถือเป็นทรัพย์สินและสามารถโอน รับโอน ซื้อ ขาย หรือจำหน่ายโดยประการอื่นไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่บางส่วนได้ โดยให้คาร์บอนเครดิตที่ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ภายในประเทศหรือวัตถุประสงค์ระหว่างประเทศ ต้องเป็นคาร์บอนเครดิตจากโครงการการลดก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นภายในประเทศและได้รับการรับรอง สอดคล้องกับความตกลงระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคี และได้
รับอนุญาตตามหลักเกณฑ์และธุรกิจและบริการคาร์บอนเครดิต ทั้งนี้ วิธีการโอน รับโอน ซื้อ ขาย หรือจำหน่ายโดยประการ ซึ่งคาร์บอนเครดิตให้มีผลต่อเมื่อจดทะเบียนกับองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน)
และผู้ประกอบธุรกิจคาร์บอนเครดิตต้องขึ้นทะเบียนการประกอบธุรกิจคาร์บอนเครดิตกับคณะกรรมการองค์การบริหารจัดการก๊าชเรือนกระจก

1.9 กำหนดให้คณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติจัดทำแผนนโยบายเรียกว่า “แผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ” เพื่อกำหนดแนวทางการส่งเสริม สนับสนุน และวางแผนขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและลดความสูญเสียและความเสียหายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สำหรับกรณีที่จังหวัดหรือท้องถิ่นใดได้รับผลกระทบ
หรือมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ให้จังหวัดหรือท้องถิ่นนั้นโดยการสนับสนุนของกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมจัดทำแผนปฏิบัติการระดับจังหวัดหรือท้องถิ่น

1.10 กำหนดให้คณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ จัดให้มีมาตรฐานกลางในการจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เรียกเรียกว่า “มาตรฐานการจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่คำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม” เพื่อให้ทุกภาคส่วนมีความเข้าใจตรงกันและมีจุดยึดโยงให้นำไปใช้อ้างอิงในการประเมินสถานการณ์ดำเนินการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ วางแผนเชิงกลยุทธ์ กำหนดนโยบายและแผนปฏิบัติการ รวมถึงจัดสรรและใช้จ่ายเงินทุนได้อย่างมีมาตรฐานสอดคล้องกัน และให้คณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ ประกาศกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการนำมาตรฐานการจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่คำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมมาบังคับใช้

1.11 กำหนดความผิดและโทษ สำหรับการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนด ตามระดับความรุนแรงของผลกระทบจากการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ เพื่อป้องกันยับยั้งมิให้มีการกระทำฝ่าฝืนมาตรการบังคับ และป้องกันมิให้เกิดผลร้ายอันเกิดขึ้นจากการฝ่าฝืนนั้น รวมถึงจูงใจให้บุคคลภายใต้บังคับปฏิบัติตามกฎหมาย ในกรณีต่าง ๆ เช่น รายงานข้อมูลอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อมูลมีความผิดทางพินัยต้องชำระค่าปรับ
เป็นพินัยตั้งแต่ 30,000 บาท ถึง 300,000 บาท และปรับอีกวันละไม่เกิน 3,000 บาทจนกว่าจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง
ไม่นำส่งรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมีความผิดทางพินัยต้องชำระค่าปรับเป็นพินัย ไม่เกิน 100,000 บาท และปรับอีกวันละไม่เกิน 10,000 บาท จนกว่าจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง

2.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้จัดทำประมาณการการสูญเสียรายได้และประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 แล้ว โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมคาดว่าต้องใช้งบประมาณในการปฏิบัติตามและบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมายในระยะ 3 ปีแรก จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ จำนวน 392,513,998 บาท และต้องเพิ่ม
อัตรากำลังเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้งสิ้น จำนวน 155 อัตรา

3.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ รวมทั้งได้จัดทำสรุปผลการรับฟังความคิดเห็นและรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมาย ตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 แล้ว และได้เสนอแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรองกรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว รวม 77 ฉบับ