fbpx
News update

เจาะ Open Data เปิด “3 มายากล ก๊าซเรือนกระจก” ทุนใหญ่ Greenwashing ป่าเขียว

คนไทยรู้ไหมว่า ?

ไทยแลนด์… 2568 ปล่อยก๊าซเรือนกระจกอันดับที่ 24 ของโลก
ไทยแลนด์… ปล่อยปีละ 385.94 ล้านตัน CO2e
ไทยแลนด์… ตั้งเป้าลดปีละ 120 ล้านตัน ลดได้จริง 8.64 ล้านตันในปี 2564 (เพราะโควิด)
ไทยแลนด์… ฝันว่า 25 ปีข้างหน้าจะบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2593
ไทยแลนด์… ฝันว่า 40 ปีข้างหน้าจะเหลือ “ศูนย์” (ปี 2608)
ไทยแลนด์…  เสี่ยงผลกระทบโลกร้อนอันดับ 30 ของโลก
ไทยแลนด์…  กำลังโดนเก็บ “ภาษีคาร์บอนข้ามพรมแดน” จากอียู (CBAM)

ผลสืบเนื่องจากภาวะโลกร้อน (Global Warming) ได้สร้างวิกฤติใหญ่เป็นปัญหากระทบไปทั่วโลกนั้น ปัจจุบันมีการเปลี่ยนไปใช้คำว่า “โลกเดือด” หรือ “ภาวะโลกเดือด” เพื่อเรียกสภาวะที่โลกร้อนขึ้นอย่างรุนแรงและรวดเร็วกว่าเดิม ซึ่งสาเหตุสำคัญคือการ ปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) โดยประเทศไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากเป็นอันดับที่ 24 ของโลกจากดัชนี CCPI 2568

ทีมอาสาสมัครชมรมเครือข่ายนักสื่อสารข้อมูลเชิงลึกแห่งประเทศไทย Thailand Data Journalism Network (TDJ) หรือ “ทีดีเจ” ได้นำข้อมูลตัวเลขจาก โอเพ่นดาต้า (open data) ของหลายหน่วยงานมาวิเคราะห์ร่วมกัน เพื่อสรุปข้อมูลและภาพรวมของปัญหาการ ปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการซื้อขายคาร์บอนเครดิตของบริษัทขนาดใหญ่ในประเทศไทย เพื่อนำไปสู่การช่วยกันหาทางออกที่เหมาะสมและเป็นรูปธรรม 

ทำให้พบว่าการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และนโยบายหรือมาตรการในการลดก๊าซเรือนกระจกยังขาดความชัดเจนและความเป็นระบบเพียงพอ ซึ่งอาจนำไปสู่วิกฤตใหญ่ในอนาคต และทำให้คนไทยต้องเสี่ยงจากผลกระทบโลกร้อนที่รุนแรงขึ้น ทั้งจากภัยพิบัติและสภาพอากาศแปรปรวน (Climate change) จากบทลงโทษทางเศรษฐกิจ ผลกระทบต่อภาคการเกษตร ฯลฯ

ทั้งนี้จากชุดข้อมูล Open Data การปล่อยก๊าซเรือนกระจก 22 ปี, Open Data โครงการคาร์บอนเครดิต, ข้อมูลกรมป่าไม้ย้อนหลัง 10 ปี และ การสัมภาษณ์นักวิชาการ-ภาคประชาสังคมเป็นครั้งแรกของประเทศไทย เพื่อวิเคราะห์สาเหตุหลักของโลกร้อนและกลไกการชดเชยคาร์บอนในไทย พบว่า กลุ่มพลังงานและอุตสาหกรรมปล่อยก๊าซสูงสุด

ขณะที่ภาคป่าไม้มีการชดเชยผ่านโครงการคาร์บอนเครดิตที่เติบโตเร็ว แต่กลับพบว่าพื้นที่ป่าลดลงกว่า 3 แสนไร่ในรอบ10 ปี และเกิดความไม่เป็นธรรมด้านการแบ่งรายได้และสิทธิในพื้นที่บางโครงการรุกล้ำที่ทำกินของชุมชน เสี่ยง “ฟอกเขียว” แทนการลดจากต้นทางจริง มาตรฐานการทำโครงการยังไม่ชัดเจน เอื้อนายทุน รายเล็กเข้าไม่ถึง และเครดิตไทยยังไม่ผ่านมาตรฐาน CBAM

พร้อมออกข้อเสนอหลักคือ “ไทยต้องเร่งออกกฎหมายลดโลกร้อน” ซึ่งยังค้างอยู่ในกระบวนการนิติบัญญัติ
เกิดข้อถกเถียงระหว่างภาครัฐกับภาคประชาชนเรื่องเนื้อหาร่างกฎหมาย ทั้งหมดชี้ให้เห็นว่า การพึ่งพาแค่กลไกชดเชย โดยไร้การกำกับ-กฎหมายที่ชัดเจน อาจไม่ตอบโจทย์ Net Zero อย่างแท้จริง

เจาะลึกตัวเลขข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 20 ปีของประเทศไทย

การวิเคราะห์ข้อมูลจาก “รายงานความโปร่งใสรายสองปีฉบับแรกของไทย” (Thailand’s First Biennial Transparency Report: BTR1) เปิดโปงความจริงอันน่ากังวล ปริมาณการปล่อยก๊าซของประเทศยังคงพุ่งขึ้นไม่หยุด แม้จะประกาศเป้าหมายลดอย่างแข็งขัน

ย้อนดูข้อมูลช่วงปี 2543 – 2565 การปล่อยก๊าซเพิ่มจาก 251.42 เป็น 385.94 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2eq) หรือเพิ่มเกือบ 54% ในเวลา 22 ปี ขณะที่เศรษฐกิจโตควบคู่กับการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล
แม้ช่วงโควิด-19 (2563–2564) จะมีผลชะลอชั่วคราว

แต่ในปี 2565 ตัวเลขกลับดีดขึ้นอีกครั้ง รวมการปล่อย 385.94 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า หากหักลบการดูดซับจากภาคป่าไม้ ยังเหลือสุทธิ 278.04 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า สูงกว่าช่วงก่อนโควิดอย่างชัดเจน

เมื่อติดตามข้อมูลตามภาคส่วน พบว่า ภาคพลังงานเป็นแหล่งปล่อยหลัก โดยปี 2559 ปล่อยถึง 255.92 ล้านตันฯ ขณะที่ภาคเกษตรปล่อย 55.41 ล้านตันฯ คิดเป็น 15.61%  ส่วนใหญ่เป็นก๊าซมีเทนจากนาข้าวและปศุสัตว์ ด้านภาคป่าไม้เป็นตัวดูดซับหลัก ช่วยลดสุทธิได้กว่า 107.90 ล้านตันฯ ในปี 2565

ประเทศไทยมีเป้าหมายชัดเจน แต่กลับไร้ “เครื่องมือ” ในการบังคับใช้ นั่นทำให้ภาคอุตสาหกรรมหันไปใช้กลไก “คาร์บอนออฟเซ็ต” หรือการชดเชยด้วยการปลูกป่า แทนที่จะลดจากต้นทาง และนี่คือจุดที่หลายฝ่ายตั้งคำถามว่า เป็น “การฟอกเขียว” หรือ Greenwashing ในรูปแบบที่ถูกต้องมีกฎหมายรองรับ

ไทยปล่อยแค่ 1% แต่รับหายนะพันปี ดร.เสรีเตือน Greenwashing ทำ Net Zero ล่ม

รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต ให้สัมภาษณ์ “ทีมทีดีเจ” ถึงผลกระทบที่คนไทยต้องได้รับ จากการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทั้งปัญหาอุณหภูมิที่สูงขึ้นและภัยพิบัติทางธรรมชาติอื่น ๆ

โดยนโยบายลดทั้งภาครัฐและเอกชนเป็นเรื่องแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะถึงเป้าหมาย Net Zero ในปี 2065 เพราะมีความไม่โปร่งใสและความซับซ้อนในข้อมูลการปลูกป่าลดคาร์บอน รวมถึงระบบซื้อขายคาร์บอนเครดิต โดยเฉพาะข้อถกเถียงทางกฎหมายที่ยังเป็นอุปสรรคในการจัดการวิกฤตภูมิอากาศแปรปรวน แนะนำให้ลดการสร้างภาพลักษณ์สีเขียวหรือGreen Washing เน้นการทำในสิ่งที่สามารถทำได้จริง

ดร.เสรีให้ข้อมูลว่าปัจจุบันนี้ประเทศไทยและคนไทยกำลังเผชิญปัญหาผลกระทบภัยพิบัติโลกร้อน ทำให้สภาพอากาศแปรปรวน มีทั้งภัยแล้งและฝนตกหนักอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ได้แก่

1. ปัญหาอุณหภูมิสูงขึ้น จากข้อมูลอุณหภูมิเฉลี่ยประเทศไทยย้อนหลัง 50 ปี ขณะนี้สูงขึ้นแล้วประมาณ 1.2 องศาเซลเซียส แม้ว่าประเทศไทยจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่ถึง 1% ของโลก แต่ยังได้รับผลกระทบจากอุณหภูมิทั่วโลกที่สูงขึ้น บางช่วงของฤดูร้อนไทยจออุณหภูมิสูงขึ้นถึง 4 – 5 องศาเซลเซียส

2. ปัญหาฝนตกรุนแรง เนื่องจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นทุก 1 องศา ทำให้ความชื้นในอากาศเพิ่มขึ้น 7% ดังนั้น หากช่วงฤดูร้อนที่อุณหภูมิสูงขึ้นกว่าปกติถึง 4-5 องศาเซลเซียส ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เช่น เหตุการณ์ฝนตกที่จังหวัดน่าน ถือว่ารุนแรงที่สุดในรอบกว่า 1,000 ปี และยิ่งมีการตัดไม้ทำลายป่า ไม่ได้เพิ่มการปลูกป่าทดแทนอย่างแท้จริง โดยเฉพาะในภาคเหนือ ทำให้น้ำหลากลงมาเมื่อฝนตกหนัก สุดท้ายน้ำจะไหลเข้าสู่ชุมชนหรือตัวเมืองทำให้น้ำท่วมสูงและรุนแรงมากกว่าในอดีต ผลกระทบภัยพิบัติจากสภาพอากาศแปรปรวนเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

ดังนั้น ประเทศไทยควรเน้นการบริหารจัดการ ภายในประเทศ และเพิ่มงบประมาณในการป้องกันภัยพิบัติ รวมถึง นโยบายลดก๊าซเรือนกระจก จัดทำ Roadmap ใหม่ทั้งหมด ต้องมีงบประมาณสนับสนุนจำนวนมาก “ปัญหาสำคัญคือ ข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการลดก๊าซของบริษัทต่าง ๆ ยังไม่ชัดเจน มีความกำกวม สับสน และขาดความโปร่งใส ไม่มีมาตรฐานในการบันทึกและประเมินที่ชัดเจน ทำให้บริษัทสามารถ “ตบแต่ง” ข้อมูลได้ จำเป็นต้องมี กฎหมายหรือนโยบายที่จัดการเรื่องข้อมูลให้โปร่งใสและเปิดเผย เพื่อเป็นพื้นฐานในการวาง Road Map ที่ชัดเจน”

ช่วงนี้บริษัทเอกชนใหญ่ ๆ ประกาศเป้าหมาย Net Zero ในปี 2050 มีความพยายามใช้ พลังงานหมุนเวียน เช่น โซลาร์เซลล์ และปรับปรุงเทคโนโลยีให้ประหยัดพลังงานมากขึ้น แต่สามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้เฉลี่ยเพียง 30% เท่านั้น ทำให้การบรรลุเป้าหมาย Net Zero ของบริษัทเป็นเรื่องยากมาก

“การใช้ป่าไม้เป็น ทางเลือกที่ต้นทุนถูกที่สุด ในการลดคาร์บอน” แต่การปลูกป่าเพื่อทำคาร์บอนเครดิตต้องใช้พื้นที่ขนาดใหญ่ ต้องเป็น 1 หมื่นไร่ขึ้นไป ใช้เวลานานอย่างน้อย 5 ปี ถือเป็นเรื่องยากมากสำหรับบริษัทส่วนใหญ่ และปัญหาคือป่าไม้จะไม่เพียงพอต่อความต้องการของทุกบริษัท การไปร่วมมือกับป่าสงวน หรือป่าอุทยาน ป่าชุมชน ซึ่งต่างประเทศมองว่าไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดในการลดคาร์บอน ถ้าไม่ได้เพิ่มการปลูกป่าปลูกต้นไม้ขึ้นมาใหม่อย่างแท้จริง

สำหรับปัญหาการผลักดันให้ไทยมี “กฎหมายลดโลกร้อน” นั้น ดร.เสรีมองว่า กฎหมายนี้จะมีการเก็บภาษีคาร์บอน หรือบังคับให้ผู้ปล่อยต้องหาวิธีลดก๊าซคาร์บอนฯ ทำให้เผชิญกับการต่อต้านจากหลายฝ่าย เนื่องจากเกรงว่าจะทำให้บริษัทขนาดเล็ก (SME) ไม่สามารถปฏิบัติตามได้และอาจต้องปิดตัวลง และถ้ามีการเก็บภาษีคาร์บอนจริง บริษัทก็จะผลักภาระไปที่ผู้บริโภค ทำให้สินค้ามีราคาแพงขึ้น

บริษัทที่ประกาศเป้าหมาย Net Zero แล้วทำไม่ได้ จะเจอ สงครามการค้าที่รุนแรง โดยต่างประเทศจะไม่ซื้อสินค้าและคนไทยรุ่นใหม่ Generation Z ก็เริ่มให้ความสำคัญกับสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ดังนั้น บริษัทจะเจอทั้งศึกนอกและศึกใน ผู้เชี่ยวชาญให้ข้อคิดว่า ประเทศไทยไม่ควรไปยึดติดกับเป้าหมายโลกร้อนของโลกมากเกินไป แต่ควรหันมา พิจารณาบริหารจัดการภายในประเทศ และ ลงทุนในงบประมาณป้องกันภัยพิบัติ ลดการสร้างภาพลักษณ์ “Green Washing” เน้นทำโครงการลดโลกร้อนที่สามารถทำได้จริง อย่างไรก็ตามการดำเนินงานของบริษัทเหล่านี้ คงต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ

Open Data กลลวง คาร์บอนเครดิตป่าเขียว

คนไทยรู้ไหมว่า ?

ปลูกป่า“ชดเชย” ดูดซับคาร์บอนดีที่สุด
คาร์บอนเครดิต “ภาคป่าไม้” ราคาแพงที่สุด
Green Washing สร้างภัยพิบัติธรรมชาติ

“ป่าไม้และพื้นที่สีเขียว หรือ ป่าคาร์บอน” คือวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการลดก๊าซเรือนกระจก เพราะ “ต้นไม้ 1 ต้น” สามารถดูดซับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ราว 0.95 ตันต่อไร่ต่อปี ขึ้นอยู่กับชนิดพันธุ์ พื้นที่ปลูก และการดูแล และเป็น 1 ใน 7 วิธีการลดก๊าซเรือนกระจก ตามแนวทางของ โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานประเทศไทย (T-VER) โดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน พลังงานทดแทน การจัดการของเสีย การจัดการในภาคขนส่ง การเกษตร 

เปิดข้อมูลคาร์บอนเครดิตป่าไม้ อบก. ราคาพุ่งแรงแตะ 3,000 บาทต่อหน่วย

ฐานข้อมูลของ อบก. ณ เดือนพฤษภาคม 2568 พบว่า มีโครงการที่ได้รับการขึ้นทะเบียนรับรองทั้งหมด 500 โครงการ โดยในจำนวนนี้เป็นโครงการในภาคป่าไม้เพียง 110 โครงการ หรือคิดเป็น สัดส่วนเพียง 22% ของทั้งหมด เมื่อเทียบกับภาพรวมทั้งหมดแม้โครงการในภาคป่าไม้จะมีสัดส่วนที่น้อยกว่า แต่โครงการประเภทนี้กลับถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่ มีราคาสูงที่สุด เมื่อเทียบกับคาร์บอนเครดิตจากกิจกรรมประเภทอื่น    

ข้อมูลจากสถิติคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจของประเทศไทย ประจำปี 2568 ชี้ว่า ราคาซื้อขายผ่านช่องทาง “ทวิภาคี” หรือการเจรจาโดยตรงระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย มี ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 306.59 บาท ต่อ tCO2eq ขณะที่ราคาต่ำสุดอยู่ที่ 55 บาท และสูงสุดพุ่งถึง 3,000 บาทต่อ tCO2eq ซึ่งสะท้อนถึงความผันผวนของตลาด และมูลค่าที่สูงของโครงการในภาคป่าไม้ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับประเภทอื่นที่ใช้กลไกเทคโนโลยีแทนธรรมชาติ

ขณะเดียวกัน รายงานสถานการณ์ตลาดคาร์บอน ภาคสมัครใจ ประเทศไทย ของ อบก.ในเดือนพฤษภาคม 2568 คาร์บอนเครดิตที่มีราคาซื้อขายสูงสุดในเดือนนี้ มาจากประเภทป่าไม้ (การลด ดูดซับ และการกักเก็บก๊าซเรือนกระจกจากภาคป่าไม้และการเกษตร) ราคาอยู่ที่ 500บาท/tCO2eq

อบก.เป็นหน่วยงานหลักของรัฐในการขับเคลื่อนประเทศสู่เป้าหมายเศรษฐกิจและสังคมคาร์บอนต่ำ ระบุว่า “คาร์บอนเครดิตป่าไม้” คือปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่สามารถลดหรือกักเก็บได้จากกิจกรรมการปลูกป่า ฟื้นฟูป่า หรืออนุรักษ์ป่า ภายใต้กรอบโครงการ T-VER (Thailand Voluntary Emission Reduction Program) ซึ่งต้องได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจาก อบก.         

“เรากำลังใช้ต้นไม้บังปล่อยควัน
กลไกคาร์บอนเครดิตเป็นเครื่องมือ“การค้า”
ปลูกป่าแค่ “ชดเชย” ไม่ได้ลดโลกร้อนจริง”

สนธิ คชรัตน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ จากชมรมนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมไทย ระบุว่า ประเทศไทยตั้งเป้าไว้สูงถึง 120 ล้านตัน CO₂ ต่อปี ที่จะต้องดูดซับจากภาคป่าไม้เพื่อให้บรรลุ Carbon Neutrality แต่จากข้อมูลล่าสุด กลับพบว่าป่าไม้ไทยสามารถดูดซับ CO₂ ได้จริงเพียง 29 ล้านตันต่อปี เท่านั้น ช่องว่างกว่า 90 ล้านตันนี้ ไม่ได้สะท้อนแค่ความท้าทายของระบบการดูดซับคาร์บอนจากธรรมชาติ

แต่กำลังชี้ให้เห็นว่า เป้าหมายของประเทศอาจกลายเป็น “ภาพฝัน” หากยังคงยึดติดกับกลไกชดเชย (offsetting) ผ่านการปลูกป่า มากกว่าการลดการปล่อยจากต้นทาง (source reduction) อย่างแท้จริงในทางปฏิบัติ ขณะที่โรงงานและภาคธุรกิจยังคงปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากปล่องควันในระดับเดิม กลับเลือกใช้การ ซื้อเครดิตจากโครงการปลูกป่า มา “ชดเชย” การปล่อย โดยไม่มีการลดการปล่อยจริงแต่อย่างใด

ยิ่งไปกว่านั้น ตัวเลขอัตราการดูดซับคาร์บอน เช่น 6.09 ตันต่อไร่ ที่ใช้ในการคำนวณเครดิต ยังขาดการตรวจสอบอิสระ และไม่มีงานวิจัยรองรับอย่างชัดเจน กรณีนี้จึงตั้งคำถามถึง “ความน่าเชื่อถือของมาตรฐาน” ในตลาดคาร์บอนไทย และชี้ว่าระบบยังเปิดช่องให้มีการ ฟอกเขียว (Greenwashing) ผ่านโครงการปลูกป่า โดยเฉพาะเมื่อกลไกคาร์บอนเครดิตถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อ “การค้า” มากกว่าการลดคาร์บอนอย่างจริงจัง

“ภาพรวมเหมือนปล่อยลด แต่ปล่องควันยังทำงาน” นายสนธิกล่าว พร้อมชี้ว่า การซื้อเครดิตป่าไม้เพื่อแลกกับสิทธิในการส่งออกไปยังยุโรปตามมาตรการ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) เป็นเพียงการปรับตัวเพื่อเลี่ยงภาษี ไม่ใช่ความตั้งใจในการลดคาร์บอนจากต้นทาง

คำถามจึงไม่ได้อยู่ที่ว่าเราปลูกต้นไม้พอหรือไม่ แต่อยู่ที่ว่าเรากำลังใช้ต้นไม้บังปล่องควันหรือเปล่า? ประเทศไทยอาจต้องทบทวนแนวทางทั้งระบบ หากต้องการไปให้ถึงเป้าหมาย Carbon Neutrality อย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่ตัวเลขบนกระดาษ

หากประเทศไทยยังคงเดินหน้าเพียงในรูปแบบ “การชดเชย” โดยไม่พัฒนาระบบตรวจวัดและรายงานคาร์บอนที่เป็นข้อบังคับอย่างเป็นระบบ อุตสาหกรรมไทยอาจเผชิญกับภาวะสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว เมื่อคาร์บอนกลายเป็น “ต้นทุนใหม่” ของเศรษฐกิจโลก

“ทุนใหญ่” ลับลวงพราง “Greenwashing ป่าเขียว”

คนไทยรู้ไหมว่า ?

บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่เปิดเผย “ข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
7% ปี 2567 มี 63 จาก 922 บริษัท
27% ปี 2568 (เมษายน) 245 จาก 922 บริษัท

“ทีมอาสาสมัครทีดีเจ” วิเคราะห์ข้อมูล open data ที่เกี่ยวข้องพบว่า เป้าหมายด้านการเพิ่มพื้นที่สีเขียวและการลดการปล่อยจริงจากต้นทาง อาจถูกลดทอน จนกลายเป็นเพียงเครื่องมือสำหรับ “จัดการตัวเลข” เพื่อให้ได้หน่วยเครดิตในระบบ มากกว่าการสร้างผลลัพธ์ด้านสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง

ข้อมูลจาก องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ณ เดือนพฤษภาคม 2568 ระบุว่า จากโครงการคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้ทั้งหมด 110 โครงการ ส่วนใหญ่ดำเนินการโดยหน่วยงานภาครัฐ หรือเป็นความร่วมมือระหว่างรัฐกับภาคเอกชนรายใหญ่

โดยพื้นที่ดำเนินโครงการส่วนมากอยู่ในเขตป่าที่มีกฎหมายคุ้มครองอยู่แล้ว เช่น ป่าสงวนแห่งชาติและป่าชุมชน ภายใต้การดูแลของกรมป่าไม้ หรือกรมป่าไม้ร่วมกับเอกชน 41 โครงการ, กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง 17 โครงการ, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช 1 โครงการ, หน่วยงานรัฐอื่น มูลนิธิ สถาบันศึกษา และท้องถิ่น 14 โครงการ, เอกชน 34 โครงการ, บุคคลทั่วไป 3 โครงการ

เมื่อนำมาเปรียบเทียบข้อมูลของบริษัทใหญ่ ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่แสดงความโปร่งใสในการเปิดเผยตัวเลขการปล่อยก๊าซเรือนกระจก พบโครงการคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้ดังนี้

แหล่งอ้างอิงข้อมูล: องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน)
Infographic ที่มา: สมาคมนักข่าวฯ (CC BY 4.0)

CBAM เขย่าอุตสาหกรรมไทย เมื่อคาร์บอนกลายเป็นต้นทุนใหม่ของเศรษฐกิจโลก ไทยรับมือหรือแค่ซื้อสิทธิปล่อยก๊าซ?

การบังคับใช้มาตรการ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ของสหภาพยุโรปตั้งแต่ปี 2566 กลายเป็นแรงกระเพื่อมใหญ่ต่ออุตสาหกรรมส่งออกของไทย โดยเฉพาะกลุ่มเหล็ก ซีเมนต์ ปุ๋ย อะลูมิเนียม ไฮโดรเจน และอาหาร ที่ต้องเผชิญกับภาษีนำเข้าสูงขึ้น

เพราะหากไม่สามารถรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ตามมาตรฐานที่ยุโรปกำหนดมาตรการ CBAM มีเป้าหมายชัดเจนในการป้องกัน “การรั่วไหลของคาร์บอน” จากการนำเข้าสินค้าจากประเทศที่ไม่มีนโยบายสิ่งแวดล้อมเข้มงวดเท่าภายใน EU โดยการคำนวณภาษีจะอิงจากข้อมูลการปล่อยคาร์บอนตลอดวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ (Life Cycle Assessment: LCA)                                                                                                     

จุดอ่อนของไทย คือการขาดระบบบังคับในการตรวจวัดและรายงานคาร์บอนอย่างเป็นระบบและโปร่งใส ส่งผลให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังไม่สามารถระบุค่าคาร์บอนฟุตพรินต์ของสินค้าได้อย่างชัดเจน กลายเป็นภาระต้นทุน และลดความสามารถในการแข่งขันในตลาดยุโรปและโลก

เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบโดยตรงจากการบังคับใช้มาตรการ CBAM หลายธุรกิจจึงหันมาใช้กลไก “ตลาดคาร์บอนสมัครใจ” เช่น การซื้อขายคาร์บอนเครดิตจากโครงการปลูกป่าหรือโครงการดูดซับก๊าซเรือนกระจกอื่น ๆ เพื่อชดเชยการปล่อยคาร์บอนของตนเอง                

อย่างไรก็ตาม นักวิชาการเตือนว่า การพึ่งพาการซื้อเครดิตเพียงอย่างเดียว โดยไม่เร่งพัฒนาระบบจัดการคาร์บอนภายในประเทศ อาจเป็นเพียง “การซื้อสิทธิปล่อยก๊าซ” ที่ไม่ยั่งยืน และในระยะยาวอาจทำให้อุตสาหกรรมไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน เมื่อ “คาร์บอน” กลายเป็นต้นทุนใหม่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในเศรษฐกิจโลก                                              

โจทย์ใหญ่ของประเทศไทยวันนี้ จึงไม่ใช่แค่การชดเชย แต่คือการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบที่ตรวจวัดได้ โปร่งใส และเป็นที่ยอมรับในระดับสากล

แหล่งข่าวมีการเปิดเผยว่า คาร์บอนเครดิตที่จัดซื้อในประเทศไม่สามารถนำไปใช้เพื่อลดภาระภายใต้มาตรการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism: CBAM) ของสหภาพยุโรปได้จริง

ส่งผลให้หลายบริษัทได้รับความเสียหาย เนื่องจากลงทุนซื้อเครดิตไว้ล่วงหน้าแล้วไม่สามารถนำมาใช้ตามวัตถุประสงค์ได้

สถานการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงข้อจำกัดของกลไกคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจในประเทศ และความจำเป็นเร่งด่วนในการยกระดับมาตรฐานให้สอดรับกับข้อกำหนดของตลาดโลก โดยเฉพาะในช่วงที่การค้าโลกเริ่มให้ “คาร์บอน” เป็นหนึ่งในต้นทุนสำคัญทางเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่ายังมีความท้าทายจากมาตรฐานที่หลากหลาย และมีหลายสำนักที่ใช้เกณฑ์การรายงานที่แตกต่างกัน ทำให้เกิดความซับซ้อนในการจัดทำข้อมูล หวังว่าในอนาคตมาตรฐานเหล่านี้จะมีความสอดคล้องกันมากขึ้น และความเข้าใจผิดในตลาดคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจ ซึ่งบางประเภทไม่สามารถนำไปหักล้างในตลาดคาร์บอนเครดิตภาคบังคับ เช่น EU CBAM ของสหภาพยุโรปได้

ความไม่ชัดเจนของกฎเกณฑ์ใหม่ อาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดในระบบ โดยเฉพาะบทเรียนจากมาตรการ CBAM ชี้ให้เห็นปัญหาเชิงโครงสร้างของการแบ่งตลาดคาร์บอนออกเป็น “ภาคสมัครใจ” และ “ภาคบังคับ” ที่ยังไม่มีความเชื่อมโยงอย่างเป็นรูปธรรม

เพราะในตลาดคาร์บอนมีการแบ่งออกเป็น ภาคบังคับ (Compliance Market) เช่น EU ETS, California Cap-and-Trade ซึ่งผู้ประกอบการมีภาระภายใต้กฎหมายต้องชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามเกณฑ์เฉพาะ โดยเครดิตที่ใช้ต้องได้รับการรับรองตามมาตรฐานที่กำหนดไว้

ส่วนภาคสมัครใจ (Voluntary Market) เช่น VCS, Gold Standard, I-REC หรือ แม้แต่ T-VER Standard คาร์บอนเครดิตที่ออกโดย อบก. ของไทย ผู้ซื้อใช้เพื่อแสดงความรับผิดชอบทางสิ่งแวดล้อม หรือเพิ่มคะแนน ESG แต่ไม่ได้มีผลต่อการหักล้างภาระภาษีหรือกฎหมายโดยตรง

ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อหลายบริษัทเข้าใจว่า คาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจสามารถนำไปใช้ลดภาระภายใต้ CBAM ได้ ทั้งที่มาตรการของสหภาพยุโรประบุชัดว่า “ใช้ไม่ได้เลย” หากไม่ผ่านเกณฑ์ที่รับรองภายใต้ระบบของ EU ทำให้เกิดการซื้อเครดิตเก็บไว้จำนวนมากโดยไม่สามารถนำไปใช้ได้จริง

“ความเข้าใจผิดราคาแพง” และมีผลกระทบต่อภาคธุรกิจ

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นคือ มีหลายบริษัท “ซื้อเก็บ” คาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจไว้ล่วงหน้า ด้วยความเข้าใจว่าจะสามารถนำไปหักลดค่าใช้จ่ายภายใต้กฎหมาย EU CBAM ได้ในอนาคต แต่เมื่อทราบว่า “ใช้งานไม่ได้” ก็ต้องเผชิญกับต้นทุนจม และเกิดความเสียหายทั้งในแง่การเงินและความเชื่อมั่น เป็นสิ่งที่เรียกได้ว่าเป็น “บทเรียนราคาแพง” ของภาคเอกชนที่เข้าสู่ตลาดโดยขาดข้อมูลที่ชัดเจน

ปัญหานี้อาจเกิดขึ้นซ้ำได้อีก หากไม่มีมาตรฐานกลางที่เชื่อมโยงกันระหว่างภาคสมัครใจและภาคบังคับ หรือหากไม่มีการสื่อสารที่โปร่งใสจากผู้จำหน่ายเครดิตและผู้กำหนดนโยบายทางออก ในอนาคตต่อไปภาคธุรกิจจำเป็นต้องตรวจสอบให้ชัดเจนว่าเครดิตคาร์บอนที่ตนเองถืออยู่นั้น จัดอยู่ในประเภทใด ใช้ได้กับกฎหมายหรือมาตรการใดบ้าง และควรตั้งคำถามตรวจสอบให้มากขึ้นเมื่อมีผู้เสนอขายเครดิต

โดยเฉพาะในจังหวะที่มีการประกาศกฎหมายหรือมาตรการใหม่ ๆ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุซ้ำรอย พร้อมเสนอว่า การสร้าง “มาตรฐานกลาง” ที่เชื่อมโยงระหว่างตลาดภาคสมัครใจและภาคบังคับ ตลอดจนการมีหน่วยงานกลางช่วยแปลถอดความกฎเกณฑ์ใหม่ให้ภาคธุรกิจเข้าใจง่าย จะเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาตลาดคาร์บอนอย่างยั่งยืนในระยะยาว

องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) ได้พัฒนาโครงการ T-VER เพื่อสนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจในประเทศไทย โดยแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก  ซึ่งมีความแตกต่างกันในด้านวัตถุประสงค์ หลักเกณฑ์ และการใช้งาน โดย Standard T-VER เหมาะสำหรับการใช้งานภายในประเทศ เน้นขั้นตอนง่าย ต้นทุนต่ำ สนับสนุนโครงการในระดับท้องถิ่น โดยข้อมูลการขึ้นทะเบียน ณ วันที่ 22 กรกฎาคม 2568 มีจำนวนโครงการทั้งหมด 520 โครงการ

ส่วน Premium T-VER ได้รับการออกแบบให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล เช่น ความตกลงปารีส (Article 6) และ The Core Carbon Principles (CCPs) โดยเน้นคุณภาพสูง โปร่งใส และสามารถซื้อขายในตลาดคาร์บอนระหว่างประเทศได้ โดยโครงการที่ได้รับการขึ้นทะเบียนแล้ว มีจำนวนทั้งหมด 4 โครงการ

อย่างไรก็ตามในบริบทของกฎระเบียบใหม่ของโลก เช่น CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ของสหภาพยุโรป ซึ่งกำหนดให้สินค้านำเข้าต้องเปิดเผยปริมาณคาร์บอนในการผลิตและใช้คาร์บอนเครดิตที่ได้มาตรฐานสากล กลไกที่เหมาะสมจึงเป็น Premium T-VER เท่านั้น เนื่องจากสามารถนำไปใช้ชดเชยในระดับสากล รองรับเป้าหมาย Carbon Neutral และ Net Zero ขององค์กรไทยที่ต้องการแข่งขันในตลาดโลกและผ่านเกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อมในระดับนานาชาติ

คนไทยรู้ไหมว่า ?

พื้นที่ป่าไม้ไทย 10 ปี ลดลง 3 แสนไร่
คาร์บอนเครดิต… ผลประโยชน์ 70:20:10 คืออะไร?

ป่าไม้กลายเป็นกลไกหรือเครื่องมือ “ฟอกเขียว” ให้กับองค์กรหรือบริษัทบางแห่ง โดยเฉพาะการนำทรัพยากรสาธารณะอย่าง ‘ป่าสงวน’ และ ‘ป่าชุมชน’ มาใช้ในโครงการคาร์บอนเครดิตของภาคเอกชน โดยมีรูปแบบการจัดสรรผลประโยชน์ที่ไม่เป็นธรรมและขาดความเท่าเทียมต่อชุมชนในพื้นที่

ข้อมูลจากกรมป่าไม้ ระบุว่า ในระยะ 10 ปี ระหว่างปี 2556–2566  พบว่าพื้นที่ป่าไม้ของประเทศไทยลดลงถึง 301,383.78 ไร่

ขณะที่การวิเคราะห์ข้อมูลโครงการคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้ 110 โครงการ พบว่า มีอย่างน้อย 32 โครงการ ที่ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนฯและป่าชุมชน เริ่มดำเนินการช่วงปี 2556 – 2557

ซึ่งกลายเป็นประเด็นที่ถูกจับตามองว่า กลไกระบบคาร์บอนเครดิตกำลังเปิดช่องให้กลุ่มบริษัทและนายทุนใหญ่ เข้าถึงสิทธิในพื้นที่ป่าภายใต้กลไกพิเศษบางอย่าง ทั้งที่โดยหลักการแล้ว พื้นที่เหล่านี้ควรได้รับการจัดการอย่างเป็นธรรม โปร่งใส และยึดประโยชน์ของสาธารณะเป็นที่ตั้ง

ลับลวงพราง “Greenwashing ป่าเขียว
“ปลูกแทบตาย ได้แค่น้ำใจ”

“Greenwashing” หรือ การฟอกเขียวในตลาดคาร์บอนเครดิต หมายถึงการที่องค์กรหรือบริษัทธุรกิจแสดงออกว่ามีการดำเนินงานเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือแสดงตัวเลขการลดจำนวนปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่าความเป็นจริง โดยใช้คาร์บอนเครดิตเป็นเครื่องมือในการสร้างภาพลักษณ์ที่ดี โดยไม่ได้เปลี่ยนแปลงหรือลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างแท้จริง 

กรณีป่าสงวนแห่งชาติ มีการแบ่งปันผลประโยชน์ 90:10 หมายถึง ภาคเอกชนได้รับส่วนแบ่งสูงถึง 90% ขณะที่ภาครัฐได้เพียง 10%

ป่าชุมชน และป่าชายเลน มีการแบ่งปันผลประโยชน์ 70:20:10 หมายถึง ภาคเอกชนได้รับส่วนแบ่งสูงถึง 70% ขณะที่ชาวบ้านที่ลงแรงปลูกและดูแลได้เพียง 20% ส่วนรัฐรับเพียง 10% เท่านั้น ทำให้เกิดเสียงตัดพ้อจากชาวบ้านชุมชนที่เกี่ยวข้องว่า “ปลูกแทบตาย ได้แค่น้ำใจ”

เมื่อป่าไม้กลายเป็นกลไกหรือเครื่องมือฟอกเขียวคาร์บอนเครดิตขององค์กรหรือบริษัทบางแห่ง โดยเฉพาะการใช้ “ป่าสงวน ป่าชุมชน” ซึ่งเป็นทรัพยากรส่วนรวมของประเทศ มาใช้ทำโครงการคาร์บอนเครดิตโดยภาคเอกชน และจัดสรรการแบ่งปันผลประโยชน์แบบเอารัดเอาเปรียบ

5 ปมปัญหา ลับลวงพราง “ฟอกเขียวทางลัด

ชาวบ้านเป็นแค่ “แรงงานเงา” ไม่มีสิทธิ์มีเสียง …..แต่ที่ สหรัฐอเมริการัฐบาลจ้างชาวบ้านปลูกป่าและเป็นเจ้าของเครดิต

ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ วิเคราะห์ 5 ปมปัญหาหลัก กลไกปลูกป่าเพื่อคาร์บอน ที่สะท้อนให้เห็นถึงความไม่โปร่งใสดังนี้

1. ป่าดูดซับคาร์บอนโมเดลที่อิงความเชื่อมากกว่าข้อมูล แนวทางหลักของการสร้างคาร์บอนเครดิตในไทย คือการให้ภาคเอกชน “เช่าพื้นที่” เพื่อปลูกป่า โดยอ้างอิงรายชื่อไม้ 58 ชนิดที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ กำหนดว่าเป็นพันธุ์ไม้ที่ดูดซับคาร์บอนได้ดี ทว่า การวัดผลจริงของการดูดซับคาร์บอนในแต่ละพื้นที่ยังขาดระบบตรวจสอบที่เข้มงวด ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า “เครดิต” ที่ได้มานั้น สะท้อนการลดก๊าซเรือนกระจกอย่างแท้จริงหรือไม่

2. ปัญหาการไล่ที่ เมื่อการปลูกป่ากลายเป็นข้อพิพาทในชุมชน ในหลายพื้นที่เริ่มมี ข้อพิพาทระหว่างภาคเอกชนกับชาวบ้าน โดยเฉพาะกรณีบริษัทขนาดใหญ่ในกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานและสาธารณูปโภค เข้าไปเช่าที่ดินเพื่อปลูกป่าในพื้นที่ที่ชาวบ้านเคยใช้เป็นป่าชุมชน นำไปสู่การไล่ชาวบ้านออกจากพื้นที่โดยไร้กระบวนการเยียวยา ชุมชนจึงรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม และ “ไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย” กับสิ่งที่เกิดขึ้นในพื้นที่ของตนเอง

3. แบ่งผลประโยชน์ไม่เท่าเทียม ปลูกแทบตาย ได้แค่น้ำใจ ข้อมูลจากหลายพื้นที่ชี้ว่า สัดส่วนผลประโยชน์จากคาร์บอนเครดิตยัง เอนเอียงไปทางภาคเอกชน ตัวอย่างเช่น โครงการปลูกป่าชายเลนบางแห่ง ภาคเอกชนได้รับส่วนแบ่งสูงถึง 70% ขณะที่ชาวบ้านที่ลงแรงปลูกและดูแลได้เพียง 20% ส่วนรัฐรับเพียง 10% เท่านั้น เกิดเสียงวิจารณ์ในชุมชนว่า “ปลูกแทบตาย ได้แค่น้ำใจ” ด้านหนึ่ง โครงการใหญ่ที่บริษัทเอกชนเช่าพื้นที่ป่าจากกรมป่าไม้หลายล้านไร่ มักไม่มีการชดเชยหรือเปิดทางให้ชาวบ้านที่ผูกพันกับผืนป่าเข้ามามีส่วนร่วมในระบบ

4. ฟอกเขียวทางลัด เลี่ยงการเปลี่ยนแปลงต้นทาง แทนที่จะลงทุนเปลี่ยนเครื่องจักรให้ปล่อยคาร์บอนน้อยลง หรือหันมาใช้พลังงานสะอาด บางบริษัทเลือกปลูกป่าเพื่อสร้างเครดิตในราคาถูก และนำไปหักลบกับการปล่อย CO₂ ในระบบบัญชี “สิ่งแวดล้อม” ของตน เป็นการเลือกทางลัดที่ “ดูดีแต่ไม่ยั่งยืน” และ เบี่ยงเบนจากเป้าหมายการลดการปล่อยจริงจากต้นทาง

5. ต่างประเทศเลือกคน – ไทยเลือกทุน โมเดลของไทยยังห่างไกลจากตัวอย่างที่ชัดเจนอย่างโดยระบบของไทยกลับให้เอกชนเช่าพื้นที่ปลูกป่าเพื่อสร้างเครดิต แล้วนำไปขายในตลาด โดยประชาชนในพื้นที่กลายเป็นเพียง “แรงงานเงา” ที่ไม่มีสิทธิ์มีเสียงใน ขณะที่ตัวอย่างจาก สหรัฐอเมริกา ซึ่งรัฐบาลว่าจ้างชาวบ้านเป็นผู้ปลูกป่าและเป็นเจ้าของเครดิต ก่อนแบ่งรายได้กลับไปยังชุมชนอย่างเป็นธรรม กลายเป็นกลไกที่ไม่เพียงลดคาร์บอน แต่ยัง ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก และสร้างความสัมพันธ์ระหว่างคนกับป่าอย่างแท้จริง

“หากไม่เปลี่ยนแปลงระบบให้โปร่งใสและกระจายผลประโยชน์อย่างเป็นธรรม คาร์บอนเครดิตจะกลายเป็นอีกหนึ่ง ‘แผนการตลาด’ ที่สวยงามในเอกสาร แต่สร้างรอยร้าวในชุมชนจริง” นายสนธิเตือน พร้อมเสนอว่า การมีส่วนร่วมของชุมชนและความโปร่งใส ต้องกลายเป็นหัวใจหลักของระบบ มิใช่เพียงองค์ประกอบเสริม

บริษัทยักษ์ใหญ่ของไทย  …. ใช้วิธีไหนลด + ชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

“ทีมอาสาสมัครจากทีดีเจ” ได้ติดตามและเก็บข้อมูลการรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของบริษัท ในแต่ละอุตสาหกรรมที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ประจำปี 2567 และ 2568 เพื่อประเมินความโปร่งใสและแนวโน้มการเปลี่ยนผ่านสู่การลดคาร์บอนของภาคธุรกิจไทย มีดังนี้

ตัวอย่างจากกลุ่มบริษัทในอุตสาหกรรมทรัพยากร

นอกจากนี้ ยังได้ติดต่อบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่มีการเปิดเผยข้อมูลปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยมีการติดต่อขอข้อมูลโดยตรงไปยังผู้บริหาร  5 บริษัท ได้แก่  บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)  2. บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) 3. บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) 4. บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) และ 5. บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)หรือ WHA เบื้องต้นมี 2 บริษัทให้ข้อมูลและความคืบหน้าในการจัดการก๊าซเรือนกระจก ดังนี้

บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)

รายงานปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมปี 2567 และ 2568 อยู่ที่ 17.19 และ 19.49 ล้านตัน CO₂e ตั้งเป้าความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2573 และ Net Zero ปี 2593

บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)หรือ WHA

ณัฐพรรษ ตันบุญเอก ประธานเจ้าหน้าที่การเงิน กล่าวถึงการปล่อยก๊าซในปี 2567 และ 2568 ของบริษัทอยู่ที่ 18,610 และ 21,856 ตัน CO₂e โดยได้บรรลุ Carbon Neutrality สำหรับ Scope 1 และ 2 ตั้งแต่ปี 2564 และอยู่ระหว่างบริหารจัดการ Scope 3 เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ในปี 2583-2593ให้ข้อมูล

WHA มีคาร์บอนเครดิตเหลือขาย 4 หมื่นตันในปี67 ดันแผน Net Zero รับมือ พ.ร.บ.ลดโลกร้อน 

นายณัฐพรรษ ตันบุญเอก ประธานเจ้าหน้าที่การเงินกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)หรือ WHA  เปิดเผยว่า ในปีที่ประกาศบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) สำหรับ Scope 1 และ 2  บริษัทสามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้ถึง 26,400 ตัน CO₂e จากการดำเนินโครงการพลังงานหมุนเวียน ซึ่งมากกว่าการปล่อยจริงของบริษัท ที่อยู่ที่ 19,000 ตัน CO₂e

ด้วยส่วนเกินนี้บริษัทจึงเริ่มขายคาร์บอนเครดิตในตลาดสมัครใจ โดยในปี 2567 บริษัทมีคาร์บอนเครดิตจากกิจกรรมต่าง ๆ ราว 60,000 ตัน เมื่อหักปริมาณที่ปล่อยเองที่ 21,900 ตัน CO₂e ยังเหลือเครดิตที่สามารถขายได้เกือบ 40,000 ตัน CO₂e

แหล่งปล่อยคาร์บอนหลักของบริษัท คือธุรกิจสาธารณูปโภค เช่น ไฟฟ้าที่เกิดจากกระบวนการผลิตน้ำ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกว่า 70% ของการปล่อยทั้งหมด ส่วนกลยุทธ์หลักในการลดคาร์บอน ได้แก่ การปรับปรุงการดำเนินงานภายในของตนเองให้มีประสิทธิภาพสูงสุด (เช่น การติดตั้งโซลาร์บนหลังคาเพื่อใช้เอง), การลงทุนในส่วนที่สามารถช่วยลดคาร์บอนได้, และการพัฒนา Ecosystem ซึ่งรวมถึงการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (EV) สำหรับธุรกิจขนส่ง ซึ่งเป็นภาคส่วนที่ลดคาร์บอนได้ยาก โดยมีเป้าหมายที่จะขยายฝูงรถ EV ไปถึง 20,000 คันภายใน 5 ปี ซึ่งคาดว่าจะลดการปล่อยคาร์บอนได้ประมาณ 280,000 ตันต่อปี

นอกจากนี้ ยังมองถึงการนำแบตเตอรี่รถ EV ที่ใช้แล้วมาใช้ซ้ำเพื่อกักเก็บพลังงานไฟฟ้าจากโครงการ Solar Rooftop ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนของบริษัทด้วย

ในด้านความเห็นถึงการเปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของบริษัท นายณัฐพรรษ กล่าวว่า ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นจากนักลงทุนและยกระดับคะแนน ESG อย่างชัดเจน ตั้งแต่เริ่มรายงาน ESG ในปี 2563 บริษัทก็ถูกจัดอยู่ในกลุ่มผู้นำด้านความยั่งยืนของตลาดหลักทรัพย์ฯ และยังเป็น Top 1% ของ S&P ในกลุ่มอุตสาหกรรมบริหารจัดการอสังหาฯในปี 2567 

โดยบริษัทมองว่าการเปิดเผยข้อมูลของบริษัทที่ปล่อยคาร์บอนสูงไม่ใช่จุดอ่อน แต่คือความโปร่งใสที่ตลาดต้องการเห็น พร้อมเดินหน้ารับมือ พ.ร.บ. ลดโลกร้อน แม้ไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงในระยะแรก แต่ใช้โอกาสนี้พัฒนาบริการใหม่ ๆ ให้ลูกค้าในกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมของบริษัทปรับตัวทันกับกฎสิ่งแวดล้อมในอนาคต

ซีพี ออลล์ ตั้งเป้าเป็นกลางทางคาร์บอน ปี’73 รับมือ พ.ร.บ.โลกร้อน ด้วยแผนประเมินความเสี่ยงตามสากล

บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)  ได้เปิดเผยนโยบายและเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน กับ “ทีมอาสาสมัครทีดีเจ” ว่า การวางแนวทางการจัดการก๊าซเรือนกระจกของบริษัทและบริษัทย่อย มีการดำเนินการอย่างเป็นระบบ พร้อมจุดยืนในการดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ผ่านการปรับปรุงกระบวนการผลิต การใช้ทรัพยากรอย่างมีคุณค่า และการนำกลไกคาร์บอนเครดิตมาใช้ลดผลกระทบจากการดำเนินงาน

มีการตั้งเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม พร้อมลดขยะฝังกลบจากการดำเนินงานให้เป็นศูนย์ และเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์พลาสติกของแบรนด์ในไทยให้สามารถรีไซเคิลหรือย่อยสลายได้ภายในปี 2568มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ภายในปี 2573 และไปให้ถึงเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี 2593 นอกจากนี้ ยังมีเป้าลดการใช้พลังงานสุทธิ 25% ภายในปี 2573

รวมถึงยกระดับการจัดการสิ่งแวดล้อมในระดับชุมชน โดยตั้งเป้าให้พื้นที่ดำเนินการทุกแห่งมีความร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อฟื้นฟูและปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพให้ครบ 100% ภายในปี 2573 ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดธุรกิจที่เกื้อกูลต่อระบบนิเวศในระยะยาว

ส่วนการเปิดเผยข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมอย่างโปร่งใสทำให้บริษัทได้รับความเชื่อมั่นในระดับสากล โดยในปี 2024 โดยได้รับเลือกเป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืนระดับโลก FTSE4Good Index เป็นปีที่ 7 และมีคะแนนด้านสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้นจากปีก่อนอยู่ที่ 4.4 คะแนน (สูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ 1.6) โดยรวมได้ ESG Rating  4.6

นอกจากเป้าหมายระยะยาวและภาพลักษณ์ในเวทีโลก ยังเตรียมพร้อมภายในเพื่อรับมือกับร่าง พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change Act) ที่อยู่ระหว่างการพิจารณา โดยได้จัดตั้งคณะประเมินความเสี่ยงองค์กร เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบจากความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ พร้อมจัดทำแผนการบริหารจัดการความเสี่ยงตามกรอบ TCFD ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลในการเปิดเผยข้อมูลด้านภูมิอากาศ

ทั้งหมดนี้ เป็นบทบาทเชิงรุกของภาคเอกชนไทย ในการขับเคลื่อนด้านสิ่งแวดล้อม และเตรียมพร้อมสู่การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำในอนาคต

สับสน “ข้อมูลป่าเขียวไทย”ตัวเลขต่างกัน 1 เท่า

“ทีมอาสาสมัครทีดีเจ” พบว่า ปัญหาความคลาดเคลื่อนของข้อมูลพื้นที่ป่า เป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่กระทบต่อความน่าเชื่อถือของระบบการประเมินเครดิต โดยมีการตั้งข้อสังเกตว่า ฐานข้อมูลจากกรมป่าไม้ ที่ใช้ในกระบวนการออกเครดิต ไม่สอดคล้องกับภาพถ่ายดาวเทียมของ GISTDA ซึ่งเกิดจากการนิยามและอ้างอิงพื้นที่สีเขียวและพื้นที่ป่าที่แตกต่างกัน

ในขณะที่ประเทศไทยประกาศนโยบายเพิ่มพื้นที่สีเขียวและป่าไม้ตามยุทธศาสตร์ชาติและเป้าหมาย  การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ( Net Zero ) แต่ข้อเท็จจริงเบื้องหลังกลับสะท้อนถึงความไม่ชัดเจนของ “ข้อมูลกลาง” ซึ่งเป็นฐานในการกำหนดนโยบายและวัดผลความสำเร็จด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศ

หนึ่งในตัวอย่างชัดเจนคือ ความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างข้อมูลพื้นที่สีเขียวจากสองหน่วยงานของรัฐ ได้แก่ กรมป่าไม้ และ GISTDA (สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ) “ ที่มีการนิยามของพื้นที่สีเขียวและพื้นที่ป่า” ยังไม่เป็นมาตรฐานเดียวกัน

โดยข้อมูลปีล่าสุด กรมป่าไม้ระบุว่าประเทศไทยมีพื้นที่ป่า 102.13 ล้านไร่ ในขณะที่ GISTDA รายงานว่าพื้นที่สีเขียวรวมของประเทศสูงถึง 194.69 ล้านไร่ ซึ่งต่างกันเกือบเท่าตัว

หากดูในระดับจังหวัด ความแตกต่างยิ่งชัดเจน:

กรุงเทพมหานคร: กรมป่าไม้ 3,946 ไร่ / GISTDA 1.69 ล้านไร่
เชียงใหม่: กรมป่าไม้ 9.51 ล้านไร่ / GISTDA 14.93 ล้านไร่
นครศรีธรรมราช: กรมป่าไม้ 1.13 ล้านไร่ / GISTDA 6.01 ล้านไร่
ขอนแก่น: กรมป่าไม้ 767,515 ไร่ / GISTDA 1.69 ล้านไร่

ความขัดแย้งของชุดข้อมูลนี้ชี้ให้เห็นถึง “ปัญหามาตรฐานกลาง” ที่ยังไม่ชัดเจน ทั้งในด้านนิยามของพื้นที่ป่าและวิธีการประเมินศักยภาพในการดูดซับคาร์บอน ซึ่งนำไปสู่ข้อเรียกร้องจากภาควิชาการให้มีการปฏิรูปกลไกเหล่านี้อย่างจริงจัง เพื่อจัดทำมาตรฐานกลางที่ตรวจสอบได้ และเพื่อให้ทุกนโยบายที่ต้องอ้างอิงข้อมูลป่าไม้ของไทยนั้น ตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง

“3 มายากล” ก๊าซเรือนกระจก

Infohraphic ที่มา: สมาคมนักข่าวฯ (CC BY 4.0)

จากการรวบรวม ตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลในหลายภาคส่วน “ทีมอาสาสมัครทีดีเจ” พบว่าปัญหาการปล่อยและการลดก๊าซเรือนกระจกที่ไม่โปร่งใสนั้น สามารถสรุปเป็น“3 มายากล” ดังนี้

1 มายากลลวงพราง:

ข้อมูลไม่โปร่งใส–กลไกไม่ตรวจสอบ

บริษัทเอกชนหลายแห่งประกาศเป็นผู้นำด้านสิ่งแวดล้อม มีโครงการลดโลกร้อนหลากหลายโครงการ แต่ในความเป็นจริงนั้น ไม่เคยมีการเปิดเผยข้อมูลการปล่อย การลด การซื้อขายคาร์บอนเครดิตให้สาธารณะตรวจสอบได้ หรือกรณีนายทุนจากบริษัทใหญ่หลายแห่งใช้วิธีซื้อขายคาร์บอนเครดิตกันเอง โดยไม่มีกลไกหรือระบบสอบสวนข้อเท็จจริงที่ได้มารตฐาน ทำให้เกิดปัญหาการ “ลวงพรางข้อมูล” ที่นอกจากทำให้ประเทศไทยไม่สามารถไปสู่เป้าหมาย Net Zeroแล้ว ยังเสี่ยงต่อปัญหาอุณหภูมิที่สูงขึ้นทุกปีและภัยพิบัติทางธรรมชาติอื่น ๆ

2 มายาลับหลัง:

สัญญาลับ–ปิดบังชาวบ้านในพื้นที่

ปัญหาใหญ่ที่ถูกซ่อนเร้นในหลายพื้นที่ทั่วประเทศไทย โดยเฉพาะภาคเหนือและอีสาน คือการอ้างโครงการซื้อขายคาร์บอนเครดิตทับซ้อนกับพื้นที่ป่าอุทยานแห่งชาติ โดยเฉพาะการอ้างถึง “ป่าชุมชน” แต่ไม่มีการเปิดเผยหรือขอความยินยอมจากชาวบ้านในพื้นที่ รวมถึงการเอารัดเอาเปรียบในเรื่องของผลตอบแทน และปิดบังรายละเอียดต่าง ๆ  

เช่น การทำข้อตกลงระหว่างทุนเอกชนกับหน่วยงานรัฐบางแห่งทำ “โครงการคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้” โดยไม่ผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนในพื้นที่ หรือในกรณีที่ใช้เทคนิคเจรจากับชาวบ้าน มีการตั้งราคาค่าตอบแทนต่ำกว่าตลาด พร้อมด้วยการสร้างระเบียบขั้นตอนแบบซับซ้อน ทำให้บริษัทบางแห่งได้รับผลประโยชแต่องค์กรรัฐหรือชาวบ้านที่มีส่วนเกี่ยวข้องแทบไม่ได้อะไรเลย

3 มายาคติ:

สร้างภาพลักษณ์องค์กรสีเขียว–ไม่ลดโลกร้อนจริง

เมื่อกระแสรักษ์โลกกลาย “แต้มต่อภาพลักษณ์การตลาด” บริษัทขนาดใหญ่จำนวนมากจึงเร่งประชาสัมพันธ์กิจกรรมสร้างภาพว่ารักษ์โลก ลดโลกร้อน ลดคาร์บอนฯ แต่ขั้นตอนดำเนินการหรือการผลิตสินค้าต่าง ๆ ไม่ได้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อย่างแท้จริง นั่นคือ “กลไกฟอกเขียว” หรือ Green Watching

เช่น การอ้างแคมเปญ“การปลูกป่าลดโลกร้อน” “กิจกรรมแจกกล้าไม้ฟรี” การสร้างภาพลักษณ์เหล่านี้ เบื้องหลังไม่มีข้อมูลที่เปิดเผยว่านำไปปลูกที่ไหน จำนวนเท่าใด และช่วยลดคาร์บอนจริงหรือไม่ รวมถึงกรณีอ้างป่าอนุรักษ์หรือป่าชุมชนที่มีอยู่เดิมมาฟอกเขียวเป็นเครดิตของตัวเอง โดยไม่ได้มีการปลูกต้นไม้ใหญ่เพิ่มหรือฟื้นฟูป่าจริง

เนื่องจากภาคป่าไม้เป็น “สินทรัพย์สีเขียว”เครื่องมือสำคัญในการเจรจาต่อรองการค้ากับหลายประเทศ การสร้างมายาคติทำให้คนไทยและทั่วโลกเชื่อว่าองค์กรนั้นกำลังช่วยลดโลกร้อนด้วยการปลูกป่าเพิ่มหรือวิธีต่าง ๆ โดยไม่ได้ปฎิบัติจริงจังนั้น  มายาคติหลอกลวงรัฐและสังคมไทยแบบนี้ อาจกลายเป็นปัจจัยสำคัญส่งผลให้ประเทศไทยโดนผลกระทบรุนแรงจากภาวะโลกเดือดได้ในอนาคตอันใกล้

กลุ่มทุนฮุบ 600 ไร่ ป่าชุมชน “คำป่าหลาย” มุกดาหาร ทำคาร์บอนเครดิต – กังหันลม ไล่ที่ชาวบ้าน

นายอดิศักดิ์ ตุ้มอ่อน เจ้าหน้าที่ โครงการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะด้านทรัพยากรแร่ โครงการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะด้านทรัพยากรแร่ THE PROJECT FOR  PUBLIC POLICY NO MINERAL RESOURCES : PPM เปิดเผยถึงปัญหา ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าดงหมูแปลง 2 เทศบาลตำบลคำป่าหลาย อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร  ซึ่งเคยประสบความสำเร็จในการหยุดยั้งโครงการเหมืองแร่ในอดีต อย่างไรก็ตาม ต่อมาพื้นที่ดังกล่าวกลับถูกซ้อนทับด้วยนโยบายปลูกป่าเพื่อคาร์บอนเครดิต                                                                            

ล่าสุด “บริษัท Green 55 Energy จำกัด และบริษัทในเค พยายามนำโครงการกังหันลมผลิตไฟฟ้าเข้ามาในพื้นที่ ซึ่งระบุว่าเพื่อลดการใช้พลังงานฟอสซิลและสอดคล้องกับนโยบาย BCG (Bio-Circular-Green) การสร้างรายได้จากการขายคาร์บอนเครดิต แต่จากการต่อสู้ของชุมชน นักวิชาการและสื่อ ในช่วงปี 2566 นั้นทำให้โครงการนี้หยุดชั่วคราว

 เหตุผลเพราะพื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่ป่าที่อุดมสมบูรณ์ ซึ่งเคยเป็นแหล่งอาหาร แหล่งหาของป่า และพื้นที่เลี้ยงสัตว์ของชาวบ้าน และการทำโครงการกังหันลมต้องมีการตัดป่าเพื่อเคลียร์พื้นที่ฐานราก โดยใช้พื้นที่ประมาณ 6 ไร่ต่อ 1 เสา และการสร้างถนนกว้างประมาณ 40 เมตร ทำให้ต้นไม้จำนวนมากถูกทำลาย ซึ่งย้อนแย้งกับนโยบายเพิ่มพื้นที่สีเขียว โดยพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากโครงการกังหันลมนี้มีถึงประมาณ 600 ไร่ และบางส่วนเป็นพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติและป่าชุมชนที่อุดมสมบูรณ์

“ แม้จะมีการต่อต้านและการใช้ข้อเท็จจริงเพื่อปกป้องสิทธิ ชาวบ้านก็ยังคงเผชิญกับความพยายาม ที่กลุ่มทุนใช้ “โครงการสีเขียว” ยึดครองที่ดินชุมชน และเปลี่ยนพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติให้เป็นโครงการคาร์บอนเครดิต โดยผ่านกลไกทางกฎหมายและนโยบายใหม่ที่แฝงด้วยเงื่อนไขซับซ้อน ที่มีทั้งการปลูกป่าเพื่อแลกคาร์บอนเครดิต ไปจนถึงการสร้างกังหันลมในพื้นที่ป่าชุมชนเดิม

นอกจากนั้น ยังมีการออกกฎหมายที่เอื้อต่อการรุกที่ป่า คือ เดิมทีนโยบายกรมป่าไม้กำหนดให้พื้นที่ป่าต้องไม่มีคนอาศัยอยู่ แต่เนื่องจากมีผู้คนจำนวนมากอาศัยอยู่ รัฐจึงออกนโยบาย มติ คทช. (คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ) มาเพื่อผ่อนปรน โดยมีเงื่อนไขให้ปลูกป่าอย่างน้อย 25% ซึ่งโยงตรงกับระบบคาร์บอนเครดิตโดยตรง หากชาวบ้านไม่ยอมรับ ก็จะไม่มีสิทธิอยู่อาศัยในพื้นที่ที่ตนเองใช้ชีวิตมาเป็นชั่วรุ่น

อีกทั้งการออกพระราชบัญญัติป่าชุมชนฉบับใหม่ ที่มี“อนุบัญญัติ” หรือ “กฎหมายลูก” เปิดช่องให้รัฐหรือเอกชนสามารถเข้าจัดการพื้นที่ได้ทันทีหลังจากมีการจดแจ้ง โดยไม่ต้องขอความยินยอมจากชุมชนแบบเดิม และเมื่อเชื่อมโยงกับการซื้อขายคาร์บอนเครดิต ยิ่งทำให้เกิดคำถามว่ากฎหมายนี้ถูกออกแบบเพื่อใคร

การต่อสู้ของชาวบ้าน

โครงการดังกล่าวมีผลกระทบต่อชุมชน วิถีชีวิต เพราะสูญเสียแหล่งอาหารและรายได้ โดยพื้นที่ดังกล่าวเป็นแหล่งอาหารสำคัญของชุมชน เช่น ป่าเห็ดเผาะ และแหล่งเลี้ยงสัตว์ รวมถึงเป็นพื้นที่ปลูกยางพาราซึ่งเป็นรายได้หลักของชาวบ้าน การสูญเสียพื้นที่เหล่านี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความมั่นคงทางอาหารและรายได้ของชาวบ้าน

ถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิและขับไล่ชาวบ้านที่อยู่อาศัยและทำกินในพื้นที่ป่ามานาน (บางส่วนอยู่ก่อนปี 2545 และ 2557 ซึ่งได้รับการผ่อนปรนให้อยู่ได้ตามมติ ครม.) ถูกมองว่าเป็นผู้บุกรุกและพยายามผลักดันให้ออกจากพื้นที่

กลุ่ม NGO, นักวิชาการ นักข่าว และนักกฎหมาย ได้ร่วมกันต่อสู้ โดยใช้หลักฐานข้อเท็จจริง เช่น ภาพถ่ายทางอากาศที่แสดงการอยู่อาศัยก่อนหน้าของชาวบ้าน หรือข้อมูลที่ชี้ว่าพื้นที่ไม่เหมาะสมกับโครงการ รวมถึงการกล่าวถึง มติ ครม. ที่เป็นข้อยกเว้นให้ชาวบ้านสามารถอาศัยอยู่ในพื้นที่ป่าสงวนได้ หากอยู่มาก่อนปี พ.ศ. 2545 หรืออยู่ระหว่างปี พ.ศ. 2545-2557

คาร์บอนเครดิตไม่ถึงมือชุมชน! ค่าตรวจพุ่ง นายทุนฟัน 80% ชาวบ้านขาดทุนตั้งแต่เริ่ม

กลุ่มองค์กรภาคประชาสังคมจังหวัดสุรินทร์ ออกมาแสดงจุดยืนชัดเจน ต่อต้านโครงการคาร์บอนเครดิตในประเทศไทย โดยมองว่าเป็นเพียงเครื่องมือของทุนใหญ่ในการ “ฟอกเขียว” (Greenwashing) สร้างภาพลักษณ์รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งที่ในความเป็นจริงยังคงเดินหน้าทำลายธรรมชาติ ผ่านอุตสาหกรรมหนัก เหมืองแร่ และระบบอาหารเชิงอุตสาหกรรม ขณะที่ภาคประชาชน โดยเฉพาะเกษตรกรในพื้นที่ป่าสงวนและป่าชุมชน กลับต้องเป็นผู้แบกรับภาระทั้งในด้านต้นทุนและผลกระทบ

หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ถูกวิพากษ์คือ “ค่าใช้จ่าย” ที่สูงเกินจริงในกระบวนการตรวจวัดคาร์บอน เช่น ค่าประเมินพื้นที่ที่สูงถึง 15,000 บาทต่อไร่ ทำให้ชาวบ้าน “ขาดทุนตั้งแต่ยังไม่เริ่มขายเครดิต” ขณะที่โครงสร้างผลประโยชน์กลับเทไปที่นายทุนหรือเจ้าของโครงการที่ได้ถึง 90% ในขณะที่รัฐและชาวบ้านได้เพียง 10% เท่านั้น นำไปสู่ข้อกล่าวหาว่าโครงการนี้เป็นการเอาเปรียบในคราบของการพัฒนา

ภาคประชาสังคมยังตั้งข้อสังเกตว่า กลไกคาร์บอนเครดิตในปัจจุบันอาจส่งเสริมให้มีการ “รุกพื้นที่ป่าธรรมชาติ” เพื่อนำมาปลูกต้นไม้ใหม่แทนที่จะอนุรักษ์ป่าที่มีอยู่เดิม การทำลายล้างเช่นนี้สะท้อนผ่านภาพช้างป่าออกมาหากินในชุมชน เนื่องจากขาดแหล่งอาหารตามธรรมชาติ บ่งชี้ถึงความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศที่ไม่สามารถฟื้นฟูได้ด้วยการปลูกป่าเชิงธุรกิจ

เสียงสะท้อนจากพื้นที่ชี้ให้เห็นว่ากลไกคาร์บอนเครดิต ปราศจากความเป็นธรรม ทั้งในเชิงรายได้และสิทธิในการจัดการป่า ภายใต้เงื่อนไขและข้อกำหนดที่เข้มงวด พร้อมเสนอแนะว่าแทนที่จะผลักภาระมายังประชาชน ภาคประชาสังคมเสนอให้รัฐและอุตสาหกรรมหลักเป็นผู้รับผิดชอบต่อการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างแท้จริง ด้วยการยุติ การใช้พลังงานฟอสซิล ลงทุนในเทคโนโลยีสะอาด และส่งเสริมการบริโภคโปรตีนจากพืชเพื่อลดภาระจากระบบปศุสัตว์

พร้อมยืนยันว่า “การปกป้องป่าที่มีอยู่” คือวิธีที่ดีกว่าการปลูกป่าเพื่อขายเครดิต มติร่วมจึงสรุปชัดเจนว่า หากไม่แก้ที่ต้นเหตุ กลไกคาร์บอนเครดิตก็เป็นเพียงภาพลวงตาที่ซ่อนการเอารัดเอาเปรียบภายใต้คำว่า “สีเขียว” เท่านั้น

“กับดักแห่งความเหลื่อมล้ำ”

โครงสร้างนี้ ออกแบบมาให้ทุนใหญ่ได้เปรียบ ถือครองโครงการแทบทั้งหมด”

รองศาสตราจารย์ ดร.พงษ์ชัย ดำรงโรจน์วัฒนา ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และรองผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายการเรียนรู้เพื่อภูมิภาค สะท้อนข้อมูลเชิงลึกว่า ค่าตรวจประเมินโครงการคาร์บอนเครดิตในภาคป่าไม้ มีต้นทุนสูงถึงหลักแสนบาท หรือเฉลี่ยไร่ละหมื่นบาท ตัวเลขที่แม้จะดูเล็กน้อยในสายตาบริษัทใหญ่ แต่กลับกลายเป็น กำแพงทางการเงิน สำหรับชาวบ้านและกลุ่มอนุรักษ์เล็กๆ

ช่องว่างเชิงโครงสร้างนี้ เปิดทางให้กลุ่มทุนขนาดใหญ่เข้าไปถือครองโครงการแทบทั้งหมด ขณะที่ “คนปลูกป่าจริง” ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่และดูแลทรัพยากรในระยะยาว กลับได้ประโยชน์ในสัดส่วนที่น้อยกว่าเอกชนที่เป็นเจ้าของโครงการ

ยิ่งไปกว่านั้น ระบบยังเต็มไปด้วยอุปสรรคที่มองไม่เห็น ตั้งแต่การเข้าถึงข้อมูลที่จำกัด ระบบตรวจสอบที่ผูกขาดโดยไม่เปิดพื้นที่ให้ภาควิชาการ หรือองค์กรอิสระเข้าร่วม ไปจนถึงการใช้ “ทรัพยากรสาธารณะ” อย่างป่าสงวนฯ เพื่อสร้างผลประโยชน์ส่วนตนของเอกชน โดยไม่มีการประเมินผลกระทบรอบด้าน                                                                      

ความเปราะบางของระบบคาร์บอนเครดิตในภาคป่าไม้ไทยว่า กลไกนี้อาจไม่ได้เปิดโอกาสอย่างเท่าเทียม หากแต่กลายเป็น “กับดักแห่งความเหลื่อมล้ำ” ที่ออกแบบมาให้ทุนใหญ่ได้เปรียบ ขณะที่ภาคประชาชนซึ่งเป็นผู้ดูแลป่าตัวจริง กลับเข้าไม่ถึงโอกาสในระบบ                                                                                                                            

จุดอ่อนสำคัญอยู่ที่ “ต้นทุนการประเมินที่สูงเกินรับไหว” เช่น ค่าตรวจประเมินโครงการที่สูงถึงไร่ละหลักหมื่นบาท ทำให้การเข้าสู่ระบบกลายเป็นภาระหนักสำหรับรายย่อย อีกทั้งบริษัทรับประเมินมีจำนวนน้อย ส่งผลให้เกิดลักษณะ “กึ่งผูกขาด” ในตลาดบริการประเมินคาร์บอนเครดิต ซึ่งยิ่งตอกย้ำความเหลื่อมล้ำทางโอกาส                                                                     

แม้ระบบจะถูกอธิบายว่าเป็นเครื่องมือสร้างรายได้และอนุรักษ์ป่า แต่ในทางปฏิบัติ กลับมีการแบ่งปันผลประโยชน์ที่ไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะในกรณีที่พื้นที่ป่าไม้ของรัฐ เช่น ป่าสงวนฯและป่าชายเลน ซึ่งควรเป็นทรัพยากรเพื่อสาธารณะ ถูกนำมาใช้ในการออกเครดิตเพื่อสร้างรายได้ให้กลุ่มทุนบางกลุ่ม ขณะที่ชุมชนในพื้นที่ไม่ได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง

“นี่คือคอขวดที่สำคัญที่สุด และเป็นเหตุผลว่าทำไมโครงการขนาดเล็กถึงมีจำนวนน้อย”   

ดร.พงษ์ชัยชี้ว่า “ระบบที่ออกแบบมา กลับกลายเป็นกับดักของความเหลื่อมล้ำที่ซ่อนอยู่ในรายละเอียด” โดยเฉพาะต้นทุนด้านการประเมินที่สูงจนกลุ่มรายย่อยหรือภาคประชาชนไม่สามารถแบกรับได้ แม้จะมีหน่วยงานอย่าง ธ.ก.ส. เข้ามาช่วยแบ่งเบาภาระบางส่วน ทั้งในรูปแบบการสนับสนุนค่าประเมิน หรือแบ่งปันผลประโยชน์ แต่ก็ยังไม่เพียงพอในการสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง                                                                                                                  

เสียงสะท้อนจากชาวบ้าน เครือข่ายภาคประชาชน และนักวิชาการ ชี้ชัดว่า หากไม่เร่งแก้ไขระบบคาร์บอนเครดิตให้เป็นธรรม กลไกนี้อาจกลายเป็นเพียงภาพลวงตา ที่สร้างการ “ชดเชย” เพื่อบรรเทาต้นทุนสิ่งแวดล้อมของทุนใหญ่ โดยไร้ซึ่ง “การลดจริง” จากต้นทาง และตัดสิทธิภาคประชาชนจากเวทีที่ควรเป็นของพวกเขา

ข้อเสนอเชิงระบบจึงถูกหยิบยกขึ้นมาชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการเปิดบทบาทของมหาวิทยาลัยให้เป็นผู้ตรวจประเมินอิสระแทนเอกชนรายเดิม หรือการสร้างกลไกกระจายผลประโยชน์ลงสู่ชุมชนให้เป็นธรรมและตรวจสอบได้ เพราะหาก ต้นทุนยังสูง ระบบยังไม่โปร่งใส และผลประโยชน์ยังถูกผูกขาด

กลไกนี้ก็อาจไม่ต่างอะไรจากเครื่องมือ ฟอกเขียว ที่ใช้ชื่อของ “ความยั่งยืน” มาอำพรางความเหลื่อมล้ำเชิงนโยบายที่กำลังเกิดขึ้นอย่างเงียบ ๆ ทั่วทั้งป่าไม้ไทย

ไทยต้องมี “กฎหมายลดโลกร้อน” วาระด่วนแห่งชาติ

คนไทยรู้ไหมว่า ?  

“ร่าง พรบ.ลดโลกร้อน” …. ต้องบังคับให้ “ลด + ชดเชย” ปล่อยก๊าซเรือนกระจก” ไม่ใช่ สมัครใจ เหมือนปัจจุบัน“
ร่าง พรบ.ลดโลกร้อน” …. ควรลดหย่อนภาษีให้ผู้ลดการปล่อยมลพิษอย่างจริงจัง
“ร่าง พรบ.ลดโลกร้อน”… บังคับโรงงานปล่อย CO2 ต้องจ่ายภาษีคาร์บอน + จ่ายเงินเข้ากองทุน
“ร่าง พรบ.ลดโลกร้อน” …..มีทั้งของหน่วยงานรัฐและ เครือข่ายภาคประชาชน                                          

แม้โลกเผชิญภาวะโลกร้อนรุนแรงขึ้น ไทยในฐานะภาคีความตกลงปารีส (Paris Agreement) ได้ประกาศเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศอย่างชัดเจน ได้แก่ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 30–40% ภายในปี 2573 มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2593, และ Net Zero ภายในปี 2608 ตามที่เคยให้คำมั่นในเวที COP26 แต่ในทางปฏิบัติยังขาด “เครื่องมือทางกฎหมาย” ที่มีประสิทธิภาพในการกำกับดูแลอย่างเป็นรูปธรรม

เช่นเดียวกับ ร่าง พระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change Act) หรือ พ.ร.บ.ลดโลกร้อน ซึ่งถูกพูดถึงมานานในฐานะกฎหมายฉบับแรกที่มุ่งควบคุมการปล่อยก๊าซโดยตรง ยังคงค้างอยู่ในกระบวนการนิติบัญญัติและไม่มีกำหนดชัดเจนในการผลักดันออกใช้

สาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้มี 5 ประเด็นหลัก ได้แก่ 

1. กำหนดเป้าหมาย Net Zero ปี 2608 และ Carbon Neutrality ปี 2593 พร้อมทั้งจัดทำแผนปฏิบัติการและรายงานข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก กำหนดให้ ภาคธุรกิจต้องรายงานข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ต่อสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) เพื่อสร้างฐานข้อมูลระดับชาติ พร้อมทั้งเสนอแนวทางสนับสนุนการลงทุนด้านเทคโนโลยีสะอาด ผ่านมาตรการทางการเงิน เช่น สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำจากกองทุนสิ่งแวดล้อมและธนาคารสีเขียว                                                                                      

2. ระบบภาษีคาร์บอนและกลไกการซื้อขายสิทธิปล่อยก๊าซ (ETS) ที่จะเปลี่ยนแรงจูงใจทางเศรษฐกิจให้ธุรกิจหันมาลดการปล่อยมลพิษ                                                                                          

3. บทลงโทษเข้มข้น กับธุรกิจที่ฝ่าฝืน เช่น ปรับสูงสุด 5 ล้านบาท หรือจำคุก 3 ปี 

4. กองทุนภูมิอากาศ ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ โดยเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหาร 

5. แผนปรับตัวรับมือภัยพิบัติ เช่น น้ำท่วม ภัยแล้ง พายุ รวมถึงการจัดการน้ำและระบบเตือนภัย

แม้ร่างกฎหมายของภาครัฐจะถูกวิพากษ์ว่ามุ่งสนับสนุนภาคธุรกิจมากกว่าการปกป้องชุมชนและระบบนิเวศ แต่ร่างฉบับประชาชนจาก 24 เครือข่ายภาคประชาสังคม ก็ได้ถูกยื่นเสนอควบคู่ โดยชูแนวคิด “ความเป็นธรรมทางสิ่งแวดล้อม” และสิทธิปกป้องกลุ่มเปราะบาง เช่น ชาวพื้นเมืองและเกษตรกร พร้อมเปิดการรณรงค์รวบรวมรายชื่อกว่า 10,000 รายชื่อเพื่อผลักดันสู่สภา โดยมีการชี้จุดอ่อน 10 ข้อของร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศฉบับรัฐบาลที่ร่าง 

แหล่งอ้างอิงข้อมูล : https://www.ilaw.or.th/articles/49357
Infohraphic ที่มา: สมาคมนักข่าวฯ (CC BY 4.0)

เทียบ 2 ร่าง พ.ร.บ.ลดโลกร้อน “รัฐ” vs “ประชาชน” เส้นทางต่างสู่เป้าหมายเดียวกัน

ภายใต้ความเร่งด่วนของวิกฤตภูมิอากาศ ประเทศไทยกำลังเผชิญจุดตัดสำคัญเมื่อมีร่างกฎหมายเพื่อรับมือกับโลกร้อนถึง 2 ฉบับหลัก ได้แก่ ร่าง พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยหน่วยงานรัฐ และร่างฉบับประชาชน จากเครือข่ายภาคประชาสังคมกว่า 24 องค์กรทั่วประเทศ ทั้งสองร่างมีเป้าหมายร่วมคือการลดก๊าซเรือนกระจกและเพิ่มขีดความสามารถในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่แตกต่างกันอย่างมีนัยยะในเชิงยุทธศาสตร์ โครงสร้าง และอุดมการณ์

เป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม คือจุดต่างแรกที่ชัดเจน ร่างของรัฐตั้งเป้าบรรลุ Carbon Neutrality ในปี 2593 และ Net Zero ปี 2608 ตามกรอบข้อตกลงปารีส ขณะที่ร่างภาคประชาชนเร่งเวลาเร็วขึ้น โดยตั้งเป้า Carbon Neutrality ปี 2578 และ Net Zero ภายในปี 2593 เพื่อรับมือผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงแล้วในกลุ่มเปราะบาง เช่น เกษตรกรและชุมชนชายฝั่ง                                          

ในด้าน โครงสร้างการบริหาร ร่างของรัฐยังคงใช้ระบบรวมศูนย์ อำนาจตัดสินใจอยู่ในมือข้าราชการเป็นหลัก ส่วนร่างของภาคประชาชนเน้นการกระจายอำนาจ เปิดพื้นที่ให้ประชาชนและเยาวชนมีส่วนร่วมตั้งแต่กระบวนการวางแผนจนถึงการกำกับนโยบายกลไกลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ก็แตกต่างชัดเจน ร่างของรัฐเน้นการส่งเสริมกลไกตลาด เช่น คาร์บอนเครดิตและภาษี CBAM เพื่อให้ภาคธุรกิจสามารถปรับตัว

ขณะที่ร่างของภาคประชาชนเลือกใช้แนวทางเข้มงวดกว่า เสนอจัดเก็บภาษีคาร์บอนโดยตรงจากอุตสาหกรรมฟอสซิล และจำกัดการใช้คาร์บอนเครดิต เนื่องจากมองว่าเป็นช่องทาง “ฟอกเขียว” ที่ลดความรับผิดชอบของอุตสาหกรรม                                                                                                                                       

นอกจากนี้ ร่างประชาชนยังยืนยันหลักสิทธิด้านสิ่งแวดล้อม ผ่าน “สิทธิ 13 ข้อ” เช่น สิทธิในการเข้าถึงข้อมูล การเยียวยา และการมีส่วนร่วม ขณะที่ร่างของรัฐยังไม่บัญญัติสิทธิเหล่านี้อย่างชัดเจน จนถูกวิจารณ์ว่าให้บทบาทภาคประชาสังคมน้อยเกินไป 

ด้านบทลงโทษ ก็มีระดับความเข้มต่างกัน ร่างของรัฐเน้นบทลงโทษทางปกครอง เช่น ปรับสูงสุด 5 ล้านบาทหากรายงานข้อมูลเท็จ ขณะที่ร่างประชาชนเพิ่มบทลงโทษทางอาญา เช่น โทษจำคุกสูงสุด 5 ปี หากละเมิดสิทธิหรือแอบอ้างข้อมูลเท็จ ซึ่งสะท้อนจุดยืนที่เข้มข้นกว่าต่อการปกป้องสิ่งแวดล้อม   

แหล่งอ้างอิงข้อมูล : https://www.ilaw.or.th/articles/49357
Infohraphic ที่มา: สมาคมนักข่าวฯ (CC BY 4.0)

ความคืบหน้าล่าสุด “กฎหมายลดโลกร้อน” ฉบับแรกของไทย

เมื่อเดือนกรกฎาคม 2568 สถานะของร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวยังไม่ผ่านการพิจารณาจากคณะรัฐมนตรี แม้ก่อนหน้านี้จะมีแผนเสนอเข้าสู่ ครม. ในเดือนเมษายน 2568 และยังไม่มีการเผยแพร่ในราชกิจจานุเบกษา โดยอยู่ระหว่างการหารือกับกรมบัญชีกลางเกี่ยวกับการจัดตั้งกองทุนในฐานะกองทุนหมุนเวียนให้มีสถานะที่สามารถดำเนินงานได้จริง

ขณะที่ร่างของภาคประชาชน แม้จะยังอยู่ระหว่างการรวบรวมรายชื่อผู้สนับสนุน 10,000 รายชื่อเพื่อเสนอสู่การพิจารณาของรัฐสภา

TDJ ชูนโยบายเร่งด่วน แก้โลกร้อน – ลดก๊าซเรือนกระจก”

จากการทำรายงานข่าวด้วยข้อมูลเชิงลึกนี้ สรุปได้ว่าคนไทยควรช่วยกันผลักดันนโยบายของรัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 

1. องค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน ต้องเปิดเผยและรายงานข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการลดก๊าซเรือนกระจกประจำปี เพื่อสร้าง open Data ระดับชาติ

2. บังคับให้ “ลด + ชดเชย”ปล่อยก๊าซเรือนกระจก” ไม่ใช่ สมัครใจ เหมือนปัจจุบัน

3. คนไทยออกมาเร่งรัด ไทยแลนด์มี “กฎหมายลดโลกร้อน” มีสาระสำคัญ ดังนี้

3.1 จัดเก็บภาษี + หย่อนภาษีองค์กรหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก๊าซเรือนกระจก

3.2 ต้องมีบทลงโทษทางแพ่งและทางอาญา

3.3 ภาคประชาสังคมมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจ

4. ประเทศไทยสามารถตอบสนองเป้าหมาย Net Zero ได้อย่างมีคุณภาพ

ถึงเวลาเปลี่ยนเครื่องมือ…จากการฟอกเขียวเป็นการลดจริง “คาร์บอนเครดิตจะมีความหมาย ก็ต่อเมื่อมันช่วยลดคาร์บอนได้จริง และสร้างความยุติธรรมได้จริง”

เพราะการรักษ์โลกไม่ควรเป็นสิทธิพิเศษของกลุ่มทุนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ…ไม่ควรเป็นภาระของชาวบ้านเพียงลำพัง

เราขอเสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างนี้ ร่วมกันตอนนี้ ไม่ใช่วันพรุ่งนี้….

บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของ โครงการ Data Journalism for Investigative Reporting โดยความร่วมมือของทีม คาร์บอนเครดิต และสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย, เผยแพร่ภายใต้สัญญาอนุญาต CC BY 4.0 ดูผลงานต้นฉบับได้ที่ [ลิงก์]


ผู้ให้สัมภาษณ์

นายสนธิ คชรัตน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ จากชมรมนักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมไทย
รองศาสตราจารย์ ดร.พงษ์ชัย ดำรงโรจน์วัฒนา ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และรองผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายการเรียนรู้เพื่อภูมิภาค
สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA
นายอดิศักดิ์ ตุ้มอ่อน เจ้าหน้าที่ โครงการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะด้านทรัพยากรแร่ โครงการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะด้านทรัพยากรแร่ THE PROJECT FOR  PUBLIC POLICY NO MINERAL RESOURCES : PPM
กลุ่มองค์กรภาคประชาสังคมจังหวัดสุรินทร์
นายณัฐพรรษ ตันบุญเอก ประธานเจ้าหน้าที่การเงินกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)

การสนับสนุนข้อมูล

องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก.
กองขับเคลื่อนการลดก๊าซเรือนกระจก กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม
บริษัท ซีพี ออลล์ จํากัด (มหาชน)

ที่มาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต

https://ccpi.org/country/tha/
https://www.dcce.go.th/datacenter/4376/
https://tver.tgo.or.th/index.php
https://carbonmarket.tgo.or.th
https://www.set.or.th/th/market/information/securities-list/thaiesg
https://forestinfo.forest.go.th/Content.aspx?id=9
https://www.dcce.go.th/4335/
https://www.ilaw.or.th/articles/49357
https://sdfthai.org/prb-climate-change/
https://hub.mnre.go.th/th/knowledge/detail/63468  
https://www.bangkokbiznews.com/environment/1177784
https://www.un.org/en/climatechange/science/climate-issues/greenwashing
https://www.techtarget.com/whatis/definition/greenwashing
https://www.khoksaad.go.th/fileupload/020820_182759.pdf
https://ghgreduction.tgo.or.th/th/about-tver/ask-answer-tver/item/2105-t-ver.html


ก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas) คือก๊าซในชั้นบรรยากาศของโลกที่มีคุณสมบัติในการดูดซับและแผ่รังสีความร้อน (Infrared Radiation) ที่สะท้อนกลับมาจากพื้นผิวโลก ซึ่งเป็นกระบวนการธรรมชาติที่ช่วยรักษาอุณหภูมิของโลกให้อบอุ่นและเหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิต

แต่ถ้ามีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มากไปจากการกระทำของมนุษย์ เช่น การเผาไหม้เชื้อเพลิง การทำอุตสาหกรรม การเกษตร และการตัดไม้ทำลายป่า จะส่งผลให้ โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นและเกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ก๊าซเรือนกระจก ประกอบไปด้วย

  • ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2): ก๊าซเรือนกระจกที่มาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ รวมถึงการตัดไม้ทำลายป่าและกระบวนการอุตสาหกรรม
  • ก๊าซมีเทน (CH4): ก๊าซเรือนกระจกที่เป็นผลจากการเลี้ยงสัตว์ การทำนาข้าว และการย่อยสลายอินทรียวัตถุในหลุมฝังกลบ มีศักยภาพในการกักเก็บความร้อนสูงกว่าคาร์บอนไดออกไซด์หลายเท่า
  • ก๊าซไนตรัสออกไซด์ (N2O): ก๊าซเรือนกระจกที่มักเกิดจากการใช้ปุ๋ยไนโตรเจนในเกษตรกรรมและกระบวนการอุตสาหกรรมบางชนิด มีศักยภาพในการกักเก็บความร้อนสูง
  • ก๊าซไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน (HFCs): ใช้ในเครื่องทำความเย็น เช่น เครื่องปรับอากาศและตู้เย็น
  • ก๊าซเปอร์ฟลูออโรคาร์บอน (PFC): พบในอุตสาหกรรมผลิตอะลูมิเนียมและอิเล็กทรอนิกส์
  • ก๊าซซัลเฟอร์เฮกซะฟลูออไรด์ (SF6): ใช้ในอุปกรณ์ไฟฟ้าแรงดันสูง เช่น สวิตช์เกียร์
  • ก๊าซไนโตรเจนไตรฟลูออไรด์ (NF3): ใช้ในการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น แผงโซลาร์เซลล์และจอแสดงผล

การซื้อขายคาร์บอนเครดิต การซื้อขายคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) คือการซื้อขายปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดหรือกักเก็บได้จากโครงการลดก๊าซเรือนกระจกที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานต่างๆ สามารถนำไปชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กรหรือบริษัทได้

โครงการ T-VER คือ โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program: T-VER) คือ โครงการลดก๊าซเรือนกระจกที่องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) พัฒนาขึ้นเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ทุกภาคส่วน มีส่วนร่วมในการลดก๊าซเรือนกระจกในประเทศโดยความสมัครใจ และสามารถนำปริมาณการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้น ที่เรียกว่าคาร์บอนเครดิต ซึ่งภายใต้โครงการ T-VER

7 วิธีการลดก๊าซเรือนกระจก

1. การปลูกต้นไม้ 2. การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน 3. การขนส่งที่ยั่งยืน 4. การจัดการของเสียอย่างเหมาะสม 5. การลดการใช้สารเคมี 6. การใช้พลังงานหมุนเวียน. 7. การใช้เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการลดก๊าซเรือนกระจก

คาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint) คือ การประเมินปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกจากกิจกรรมต่างๆ ทั้งผลิตภัณฑ์ องค์กร อีเว้นท์ และอื่นๆ มีหน่วยเป็น กรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (gCO2eq) หรือ กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (kgCO2eq) หรือ ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2eq)

หลักการคำนวณ Carbon footprint ขององค์กร  พิจารณาจากขอบเขตหรือ Scope ของการวัด Carbon footprint ดังนี้
Scope 1 เช่น การเผาขยะ การฝังกลบขยะ การเดินทางโดยยานพาหนะขององค์กร การบำบัดน้ำเสีย การจัดการสิ่งปฏิกูล เป็นต้น
Scope 2 เช่น การใช้กระแสไฟฟ้าที่ไม่ได้ผลิตเอง
Scope 3 เช่น การเดินทางด้วยพาหนะที่ไม่ใช่ขององค์กรในสถานประกอบการของผู้รับจ้าง การจ้างเหมาบริการต่าง ๆ เป็นต้น