
Onlinenewstime.com : นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ ประธานคณะกรรมาธิการการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ วุฒิสภา ได้หารือแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินในพื้นที่อำเภอแม่แจ่ม กับนายสุระวุธ จันทร์งาม นายอำเภอแม่แจ่ม ณ เฮือนแรมแจ่มเมืองรีสอร์ท เมื่อวันศุกร์ที่ 1 กันยายน ที่ผ่านมา
นายสุระวุธให้ข้อมูลว่า สมัยที่นายวิบูลย์ สงวนพงศ์ อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เมื่อปี 2550 ได้เริ่มสำรวจที่ดินทำกินของราษฎรที่อยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติและอุทยานแห่งชาติ โดยได้นำร่องในพื้นที่อำเภอแม่แจ่มและอำเภออมก๋อย จนถึงปี 2560 ซึ่งนายบุญลือ ธรรมธนานุรักษ์ อดีตนายอำเภอแม่แจ่ม จึงได้นำฐานข้อมูลดังกล่าวมาเป็นข้อมูลเบื้องต้นในการแก้ปัญหาไฟป่า ปัญหาภูเขาหัวโล้น และปัญหาที่ดินทำกินของราษฎร
แต่เนื่องจากข้อมูลยังไม่มีความชัดเจน จึงได้กำหนดพื้นที่ตำบลแม่ศึกเป็นพื้นที่ตัวอย่างในการเก็บข้อมูล โดยความร่วมมือของทางอำเภอ และหน่วยงานอื่นๆ เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) : GISTDA มูลนิธิรักษ์ไทย มูลนิธิสภาคริสตจักรในประเทศไทย ร่วมกันลงพื้นที่ทำประชาคมในทุกหมู่บ้าน เพื่อทำความเข้าใจกับชาวบ้านถึงประโยชน์ที่จะได้รับ โดยมีการฝึกอบรมอาสาสมัครเดินสำรวจแผนที่ชุมชนให้กับชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ของ อปท.
เมื่อได้ข้อมูลแล้ว นำข้อมูลเข้าสู่ระบบการจัดทำแผนที่ และนำแผนที่กลับมารีเช็คข้อมูลอีกครั้ง และแยกช่วงปีในการเข้าครอบครองทำกินตามนโยบายของกรมป่าไม้ โดยมีการทำข้อตกลงร่วมกันในการไม่บุกรุกพื้นที่เพิ่มเติม ซึ่งกระบวนการดังกล่าวใช้ระยะเวลา 4 ปี จึงสำรวจเสร็จสิ้นทั้งตำบล ราษฎรเจ้าของพื้นที่ตามแผนที่จะได้ใบรับรองการใช้ประโยชน์ในที่ดิน ซึ่งสามารถนำใบรับรองดังกล่าวไปขึ้นทะเบียนเป็นเกษตรกร เพื่อให้ได้รับความช่วยเหลือต่างๆ ตามนโยบายของรัฐบาล เช่น การประกันราคาพืชผล และการช่วยเหลือกรณีเกิดภัยพิบัติ เป็นต้น

นายสังศิตเห็นว่า “รูปแบบและแนวทางดังกล่าวสามารถใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการสำรวจพื้นที่ครอบครองทำกินของราษฎรที่อยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติและอุทยานแห่งชาติในพื้นที่อื่นๆ ของประเทศไทยได้ เพราะมีการตกลงร่วมกันที่จะไม่ทำผิดกติกา จึงไม่มีการบุกรุกพื้นที่เพิ่มเติม และยังมีสิทธิได้รับความช่วยเหลือต่างๆ ตามนโยบายของทางรัฐบาล และรู้สึกได้ถึงความมั่นคงในชีวิตมากยิ่งขึ้น แต่การจะดำเนินการให้ประสบความสำเร็จได้ ต้องมีผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ และสามารถบูรณาการการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วนได้”
จากนั้นเวลา 9:30 น. คณะเดินทางได้เข้าร่วมประชุมแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชน และการบริหารจัดการแหล่งน้ำขนาดเล็กด้วยฝายแกนดินซีเมนต์ร่วมกับหัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารท้องถิ่น ผู้แทนภาคเอกชน และประชาชนที่สนใจ ณ ศาลาประชาคมอำเภอแม่แจ่ม
นายสุระวุธ นายอำเภอแม่แจ่ม รายงานข้อมูลว่า “อำเภอแม่แจ่มมีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 1.7 ล้านไร่ เป็นพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติประมาณ 1.3 ล้านไร่ เป็นพื้นที่อุทยานแห่งชาติ 317,773 ไร่ เป็นพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิ์และหนังสือรับรองการทำประโยชน์ 23,815 ไร่ พื้นที่ร้อยละ 70 เป็นพื้นที่ที่มีความลาดชัน พื้นที่ประมาณร้อยละ 20 เป็นที่ราบเชิงเขา และเป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำประมาณร้อยละ 10 มีแม่น้ำแม่แจ่มเป็นแม่น้ำสายหลัก”
“แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 7 ตำบล 104 หมู่บ้านมี อปท. 8 แห่ง เป็นเทศบาลตำบล 2 แห่ง และองค์การบริหารส่วนตำบล 6 แห่ง มีประชากรประมาณ 60,000 คน ประกอบด้วย 4 ชนเผ่าได้แก่ ชนพื้นเมือง ชนเผ่ากะเหรี่ยงหรือปกาเกอะญอ ชนเผ่าลัวะ และชนเผ่าม้ง ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ซึ่งส่วนใหญ่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ รองลงมาเป็นพื้นที่นาข้าว ข้าวโพดหวาน และยางพารา ตามลำดับ ปัญหาสำคัญในพื้นที่อำเภอแม่แจ่ม สรุปได้ดังนี้
- ปัญหาด้านโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ ปัญหาด้านเส้นทางคมนาคมที่มีความยากลำบาก และปัญหาการไม่มีไฟฟ้าใช้ใน 8 หมู่บ้านและ 13 หย่อมบ้าน
- ปัญหาการบุกรุกพื้นที่ป่าและการไม่มีเอกสารสิทธิ์ในที่ดิน โดยมีพื้นที่ทำกินในเขตป่าสงวนแห่งชาติและเขตอุทยานแห่งชาติ (ป่าอนุรักษ์) ประมาณ 437,712 ไร่
- ปัญหาหมอกควันและไฟป่า ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการเผาป่าเพื่อหาของป่า และเตรียมพื้นที่ทำการเกษตร
- ปัญหาด้านหนี้สินในครัวเรือน โดยเกษตรกรในอำเภอแม่แจ่มมีหนี้สินรวมมากถึง 1,700 ล้านบาท
- ปัญหายาเสพติด คือยาบ้าและฝิ่น
- ปัญหาสารเคมีตกค้างทางการเกษตร
นายสุระวุธ กล่าวอีกว่า “อำเภอแม่แจ่ม ได้ทำการพัฒนาและส่งเสริมทั้งทางด้านสังคม เศรษฐกิจ การเกษตร และวัฒนธรรม มีการสร้างและซ่อมแซมบ้านให้แก่ผู้ยากไร้อีกด้วย”
นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ ประธานคณะกรรมาธิการฯ ได้กล่าวถึงเหตุที่เสนอตั้งคณะกรรมาธิการฯ ต่อที่ประชุมว่า เนื่องจากเล็งเห็นว่าปัญหาที่สำคัญที่สุดของประเทศไทย คือ
1.ปัญหาเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่น และ
2.ปัญหาเรื่องความยากจนและความเหลื่อมล้ำ
ทั้งสองปัญหานี้ต้องอาศัยการทำงานแบบบูรณาการหลายหน่วยงานเพื่อแก้ปัญหาจึงจะมีทางประสบความสำเร็จได้
สำหรับการแก้ไขปัญหาความยากจนนั้น ต้องเริ่มแก้ไขปัญหาตามความเป็นจริงของแต่ละพื้นที่ เพราะแต่ละพื้นที่ล้วนแล้วแต่มีลักษณะเฉพาะทางสังคม ทางกายภาพ การมีโอกาสและข้อจำกัดที่แตกต่างกันในการพัฒนา ดังนั้นแต่ละพื้นที่จึงจำเป็นต้องมีโมเดลการพัฒนาที่มีลักษณะเฉพาะตัวที่แตกต่างจากที่อื่น พูดง่ายๆ ก็คือ “1 พื้นที่ 1 โมเดล”
เมื่อคณะกรรมาธิการฯ เล็งเห็นแล้วว่า “น้ำ” เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการแก้ความยากจนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่นอกเขตชลประทาน จึงได้ออกเสาะแสวงหาความรู้ที่จะช่วยให้ เกษตรกรสามารถเก็บน้ำไว้ใช้เพื่อการอุปโภคบริโภคและเพื่อการเกษตรได้ตลอด 365 วันใน 1 ปี จนได้พบกับนวัตกรรมฝายแกนดินซีเมนต์ที่มีประสิทธิภาพในการเก็บกักน้ำไว้ใช้ได้ตลอดทั้งปีจริง มีความแข็งแรงทนทาน
เพราะมีแกนฝังลึกลงไปใต้ดินเพื่อป้องกันไม่ให้ฝายถูกน้ำงัดพัง และยังฝังแกนเข้าไปยังหูฝายริมตลิ่งทั้งสองข้างซ้ายขวา เพื่อป้องกันน้ำกัดเซาะ นอกจากนี้ฝายแกนดินซีเมนต์ใช้เวลาสร้างไม่นาน มีราคาถูก เพราะใช้ปูนปอร์ตแลนด์ผสมกับดินในอัตราส่วน 1 : 10 – 30
ถ้าเป็นฝายขนาดเล็กสามารถใช้แรงงานคนได้ ทำให้เกิดการมีส่วนร่วมและความสามัคคีของชุมชน เมื่อมีน้ำเกษตรกรก็สามารถทำการเกษตรได้ตลอดทั้งปี หลังจากนั้น คณะกรรมาธิการฯ จะให้ความรู้และส่งเสริมให้ทำการเกษตรผสมผสาน และเกษตรอินทรีย์ เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพ และการมีรายได้ที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งขั้นตอนดังกล่าวมูลนิธิรักษ์ดินรักษ์น้ำได้เข้ามาส่งเสริมให้คนแม่แจ่มทำการเกษตรแบบมาตรฐานอินทรีย์วิถีไทย รวมทั้งส่งเสริมเรื่องการแปรรูปและการตลาด

นายสังศิต “กล่าวชื่นชมและขอแสดงความเคารพต่อพลังสมานฉันท์ของชาวอำเภอแม่แจ่มที่ร่วมแรงร่วมใจกันสร้างฝายชะลอน้ำดักตะกอนได้ปีละหลายหมื่นตัว แต่ฝายดังกล่าวยังมีจุดอ่อนที่ไม่สามารถเก็บน้ำไว้บนผิวดินได้มากนัก โดยเฉพาะในหน้าแล้ง ถ้าชาวแม่แจ่มเพียงแต่ต่อยอดความรู้ด้วยการนำเทคนิคการสร้างฝายแกนดินซีเมนต์ไปใช้ จะสามารถเก็บกักน้ำบนผิวดินไว้ใช้ได้ตลอดทั้งปี 365 วัน”
จากการเดินทางไปศึกษาดูงานเรื่องการแก้ปัญหาความยากจนที่ประเทศจีน ทำให้เห็นถึงความสำคัญในการนำภาคธุรกิจเอกชนเข้ามาช่วยในการแก้ไขปัญหาความยากจน คณะกรรมาธิการฯ จึงได้แสวงหาความร่วมมือจากภาคธุรกิจเอกชนเพิ่มมากขึ้น
จากนั้น พระครูมงคลวิสิฐ เจ้าคณะอำเภอแม่แจ่ม และพระครูวีรกิจสุนทร เจ้าอาวาสวัดบ้านเจียง ได้ให้ความเห็นไปในแนวทางเดียวกันว่า การแก้ปัญหาต่างๆ ในพื้นที่อำเภอแม่แจ่ม
ได้รับความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ซึ่งในส่วนของพระสงฆ์และวัดก็มีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาตามหลัก “บวร” บ้าน วัด และโรงเรียน ในวันนี้ได้ความรู้ใหม่ๆ เพิ่มเติม โดยเฉพาะนวัตกรรมฝายแกนดินซีเมนต์ ถ้าสร้างในลำน้ำแม่แจ่มจะเกิดประโยชน์อย่างมากต่อคนทั้งสองฝั่งแม่น้ำ เพราะจะทำให้มีน้ำใช้ได้ตลอดทั้งปี และพื้นที่โดยรอบมีความชุ่มชื้นมากยิ่งขึ้น
นายสังศิต ตั้งข้อสังเกตว่าการขยายตัวของธุรกิจทุนนิยมที่เข้ามาที่อำเภอแม่แจ่มยังเป็นแบบดั้งเดิม และล้าหลัง ทุนเข้ามาส่งเสริมการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่เป็นพืชราคาถูก เกิดการทำลายล้างป่า สร้างปัญหาหมอกควันไฟซึ่งกลายเป็นปัญหาในระดับภูมิภาคและของประเทศ คณะกรรมาธิการฯ จะหาทางปรึกษาหารือกับธุรกิจเหล่านี้เพื่อหาทางร่วมมือกันในการทำธุรกิจที่จะต้องเป็นประโยชน์กับชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของชาวแม่แจ่ม ชาวบ้านต้องมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีความมั่นคงในชีวิต ชุมชนและสังคมไทยต้องปลอดภัยจากหมอกควันไฟ ส่วนธุรกิจสามารถแสวงหากำไรได้อย่างยั่งยืน ซึ่งได้มีการกำหนดการหารือไว้เรียบร้อยแล้วในวันที่ 13 กันยายน ศกนี้