Site icon Onlinenewstime.com – News and Knowledge to sustainability

แนวโน้มธุรกิจ “กลุ่มจำนำทะเบียนรถ” ทริสเรทติ้ง ปรับลดคาดการณ์สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ ปี68 โตเหลือ 5–10%

pawn a car BUSINESS

Onlinenewstime.com : ทริสเรทติ้งปรับลดมุมมองการเติบโตของสินเชื่อกลุ่มจำนำทะเบียนรถโดยคาดว่าสินเชื่อจะเติบโตที่ระดับ 5%-10% ในปี 2568 จากเดิมที่คาดว่าสินเชื่อจะเติบโตที่ระดับ 10%-15% เนื่องจากผู้ประกอบการต่างมุ่งเน้นการเติบโตอย่างระมัดระวังเพื่อรักษาคุณภาพสินเชื่อ ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ยังอ่อนแอและมีความไม่แน่นอนสูง

รวมทั้งความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ยังเปราะบาง ประกอบกับตลาดตราสารหนี้ที่ยังมีความตึงตัว ซึ่งกระทบต่อความสามารถในการขยายสินเชื่อของผู้ประกอบการบางรายโดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลาง

รายได้และกำไรจะเติบโตได้อย่างจำกัดจากสินเชื่อที่เติบโตชะลอลง อย่างไรก็ดี การควบคุมต้นทุนในการดำเนินงาน ต้นทุนด้านเครดิตที่เริ่มปรับลดลง และอัตราดอกเบี้ยจ่ายที่คาดว่าจะเริ่มทรงตัวและปรับลดลงในระยะถัดไปจะเป็นปัจจัยสนับสนุนผลประกอบการ

คุณภาพสินเชื่อคาดว่าจะเริ่มทรงตัวและปรับดีขึ้นเล็กน้อยจากความพยายามของผู้ประกอบการในการรักษาระดับคุณภาพสินเชื่อในช่วงหลายไตรมาสที่ผ่านมา โดยมีทั้งการปรับกระบวนการอนุมัติสินเชื่อให้เข้มงวดมากขึ้น การตัดจำหน่ายหนี้สูญและขายหนี้เสียเพื่อช่วยลดระดับ NPL Ratio

อย่างไรก็ตาม คุณภาพสินเชื่อยังเป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากอาจมีการเร่งตัวขึ้นได้อีก หากสภาวะเศรษฐกิจอ่อนแอมากกว่าที่คาดการณ์ไว้จนส่งผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้

ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ของปี 2568 (1Q68) สินเชื่อรวมคงค้างของผู้ประกอบการสินเชื่อจำนำทะเบียนรถที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (รวมสินเชื่อที่มีสินทรัพย์อ้างอิงประเภทอื่นด้วย เช่น ที่ดิน) มียอดคงค้างอยู่ที่ 4.13 แสนล้านบาท ทรงตัวเมื่อเทียบกับสิ้นปี 2567 และมีการเติบโตเล็กน้อย 3.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า (YOY)

การเติบโตของสินเชื่อชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัดเทียบกับการเติบโตที่ 28.1% YOY ในปี 2566 โดยปัจจัยหลักมาจากความระมัดระวังที่เพิ่มขึ้นของผู้ประกอบการในการปล่อยสินเชื่อใหม่และการจัดการควบคุมคุณภาพสินเชื่อที่มีการปล่อยไปก่อนหน้า ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว

คุณภาพสินเชื่อของกลุ่มสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยังคงค่อนข้างอ่อนแอ แต่มีแนวโน้มทรงตัวมากขึ้นใน 3M68 จากการที่ผู้ประกอบการมีการปรับตัวต่อเนื่องมาหลายไตรมาส โดยมีการปรับหลักเกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อใหม่ให้เข้มงวดมากขึ้น ปรับปรุงกระบวนการติดตามหนี้ และการบริหารจัดการหนี้เสียรวมถึงการตัดจำหน่ายหนี้สูญเชิงรุก

ส่งผลให้ NPL Ratio ของกลุ่มธุรกิจนี้เริ่มทรงตัว โดย NPL Ratio ลดลงมาอยู่ที่ 3.66% ณ สิ้น 1Q68 จาก 3.75% ณ สิ้นปี 2567 ส่วนสินเชื่อกลุ่มที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัย (Stage 2) ก็มีการปรับลดลงในช่วงเวลาดังกล่าวเช่นกัน

โดยปรับลดจาก 11.89% ณ สิ้นปี 2567 เป็น 11.45% ณ สิ้น 1Q68 รวมทั้งราคารถยนต์มือสองที่เริ่มทรงตัวในระดับที่ดีขึ้นเล็กน้อยหลังจากราคารถยนต์มือสองมีทิศทางปรับลดลงมาตลอดในช่วงสองปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้ เนื่องมาจากอุปทานของรถมือสองที่ลดลง ปัจจัยดังกล่าวทำให้ผลขาดทุนที่เกิดจากการขายรถถูกยึดลดลง
ในส่วนของต้นทุนทางด้านเครดิตสำหรับ 3M68 ปรับลดลงเป็น 2.88% จาก 3.16% ในปี 2567

ทริสเรทติ้งมองว่าการเติบโตของสินเชื่อจะชะลอตัวลง โดยคาดว่าสินเชื่อจำนำทะเบียนรถจะเติบโตที่ระดับ 5%-10% จากเดิมที่คาดว่าสินเชื่อจะเติบโตได้ที่ระดับ 10%-15%

โดยแม้ว่าความต้องการสินเชื่อของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายจะยังคงอยู่ในระดับสูง แต่เนื่องจากคุณภาพสินเชื่อที่ยังอ่อนแอ ประกอบกับสภาวะเศรษฐกิจที่ยังเปราะบางและมีความไม่แน่นอนสูง

ส่งผลให้ผู้ประกอบการมุ่งเน้นการให้ความสำคัญกับการรักษาคุณภาพสินเชื่อและเน้นการเติบโตอย่างระมัดระวัง โดยขยายสินเชื่อในกลุ่มลูกค้าที่ค่อนข้างมั่นใจว่ายังมีความสามารถในการชำระหนี้เป็นหลัก ทริสเรทติ้งคาดว่าปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลให้ความรุนแรงของการแข่งขันทั้งทางด้านราคาและการขยายสาขาจะเบาบางลง การแข่งขันอาจเร่งตัวขึ้นอีกครั้งได้หากสภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัว ตลาดตราสารหนี้ลดความตึงตัว และคุณภาพสินเชื่อเริ่มมีแนวโน้มดีขึ้น

คุณภาพสินเชื่อคาดว่าจะเริ่มมีแนวโน้มทรงตัวและปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยได้ แม้ว่าความสามารถในการผ่อนชำระของลูกหนี้ฐานรากยังคงอ่อนแอจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง

แต่คาดว่าความพยายามของผู้ประกอบการในช่วงหลายไตรมาสที่ผ่านมาในการรักษาระดับคุณภาพสินเชื่อโดยมีการปรับเงื่อนไขและกระบวนการอนุมัติสินเชื่อให้เข้มงวดมากขึ้น ประกอบกับมีการตัดจำหน่ายหนี้สูญและขายหนี้เสียจะสามารถช่วยลดระดับ NPL Ratio ได้ ในส่วนของต้นทุนด้านเครดิตคาดว่าได้ผ่านจุดสูงสุดมาแล้ว แต่ยังคงอยู่ในระดับค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับช่วง 4-5 ปีก่อน

อย่างไรก็ตาม คุณภาพสินเชื่อยังเป็นประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด และอาจมีการเร่งตัวขึ้นได้อีกครั้งหากสภาวะเศรษฐกิจอ่อนแอและยืดเยื้อมากกว่าที่คาดการณ์ไว้จนส่งผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้

ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้และกำไรของธุรกิจจำนำทะเบียนรถจะเติบโตได้แม้จะเป็นไปอย่างจำกัด โดยปัจจัยที่ยังช่วยผลักดันการเติบโตของรายได้และกำไรมาจากคาดการณ์การเติบโตของสินเชื่อ ค่าใช้จ่ายด้านเครดิตที่คาดว่าจะปรับลดลงจากความพยายามรักษาคุณภาพสินเชื่อของผู้ประกอบการและการควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานรวมไปถึงการขยายสาขาที่จะชะลอลง ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยจ่ายคาดว่าจะเริ่มลดลงได้เล็กน้อยในระยะถัดไปตามทิศทางของดอกเบี้ยที่อยู่ในขาลง

อย่างไรก็ตามปัจจัยดังกล่าวจะถูกชดเชยบางส่วนด้วยอัตราผลตอบแทนที่อาจมีแนวโน้มปรับตัวลดลงเนื่องจากการมุ่งเน้นปล่อยสินเชื่อใหม่ที่มีความเสี่ยงลดลง อย่างไรก็ตามอาจเห็นการปรับเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนในผู้ประกอบการบางรายที่มีการการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรับในช่วงก่อนหน้านี้และเริ่มเห็นผลของการปรับอัตราดอกเบี้ยรับหลังสัญญาเก่าสิ้นสุดลง

ทริสเรทติ้งคงมุมมองว่าในปัจจุบันธุรกิจจำนำทะเบียนรถยังได้รับผลกระทบค่อนข้างจำกัดจากการเข้ามาของรถยนต์ไฟฟ้าและโดยเฉพาะการแข่งขันด้านราคา เนื่องจากธุรกิจจำนำทะเบียนรถรับหลักประกันที่ปลอดภาระแล้ว

แต่เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้าส่วนมากยังอยู่ระหว่างการผ่อนชำระ ทำให้ผู้ประกอบการส่วนมากยังไม่รับหรือมีหลักประกันเป็นรถไฟฟ้าเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก จำนวนรถไฟฟ้าสะสมทั้งหมด ณ เดือนเมษายน 2568 อยู่ที่ 266,888 คัน แม้ว่าจะมีอัตราการเติบโตที่สูงกว่ารถประเภทอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัดด้วยอัตราการเติบโตถึง 62% YOY

แต่เมื่อเทียบกับจำนวนรถจดทะเบียนสะสมทั้งหมดแล้วจะยังคิดเป็นเพียง 0.62% ของจำนวนรถจดทะเบียนสะสมทั้งหมด รวมทั้งผู้ประกอบการต่างมีความระมัดระวังในการรับจำนำทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้า เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้ายังไม่มีราคารถมือสองที่มีเสถียรภาพและมาตรฐาน

อย่างไรก็ตาม การแข่งขันราคาของรถยนต์ไฟฟ้าซึ่งส่งผลให้ราคารถยนต์น้ำมันมือสองลดลงนั้นอาจมีผลกระทบเชิงลบกับธุรกิจจำนำทะเบียนรถในแง่ที่ส่งผลให้ผลขาดทุนจากการขายรถยึดเพิ่มขึ้นได้ แต่ก็คาดว่าอยู่ในระดับที่จำกัด เนื่องจากพฤติกรรมการใช้รถยนต์ของผู้บริโภคในรถยนต์ทั้งสองประเภทยังไม่สามารถทดแทนกันได้อย่างสมบูรณ์

ธุรกิจกลุ่มจำนำทะเบียนรถเผชิญความเสี่ยงหลัก ได้แก่

ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk):

แหล่งเงินทุนของบริษัทจำนำทะเบียนรถที่เป็นนอนแบงก์มีความมั่นคงน้อยกว่าธนาคารและบริษัทลูกของธนาคาร เนื่องจากไม่สามารถระดมเงินฝากหรือพึ่งพาธนาคารแม่ได้ แหล่งเงินทุนของบริษัทเหล่านี้นอกจากฐานทุนจะมาจากเงินกู้จากสถาบันการเงินและการออกตราสารหนี้ ซึ่งเสี่ยงต่อปัญหาสภาพคล่องหากไม่สามารถจัดหาเงินทุนเพื่อชำระคืนหนี้ได้

ความเสี่ยงนี้สามารถลดลงได้หากบริษัทมีการจัดการความสอดคล้องของอายุสินทรัพย์และหนี้สินที่ดี กระจายวันครบกำหนดของเงินกู้ให้สอดคล้องกับกระแสเงินสดจากการชำระคืนของลูกหนี้ แต่ความเสี่ยงนี้อาจเพิ่มขึ้นในช่วงที่ตลาดตึงตัวจากความไม่มั่นใจของนักลงทุน

ความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk):

กลุ่มลูกค้าหลักของธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียนรถส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเปราะบางรายได้น้อย อาจเข้าถึงบริการทางการเงินจากธนาคารได้ยาก เนื่องจากมีความเสี่ยงด้านเครดิตสูงกว่าลูกค้าของธนาคาร แต่เนื่องจากเป็นสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน และลูกหนี้มีความเป็นเจ้าของรถมาแล้ว

ประกอบกับวงเงินสินเชื่อที่ส่วนใหญ่อยู่ในระดับต่ำหรือไม่สูงเทียบเท่ากับราคาตลาด ทำให้อัตราการทิ้งรถไม่สูงเท่ากับสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ความสามารถในการประเมินราคาหลักประกัน การรู้จักและเข้าถึงลูกค้า ความสามารถในการติดตามหนี้เป็นปัจจัยที่สำคัญในการควบคุมคุณภาพสินเชื่อ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังช้าและค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพที่สูงขึ้น ล้วนเพิ่มแรงกดดันต่อความเสี่ยงด้านเครดิต

ความเสี่ยงด้านปฏิบัติการ (Operational Risk):

แม้ว่าธุรกิจจำนำทะเบียนรถจะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ธปท. แต่บริษัทจำนำทะเบียนรถที่เป็นนอนแบงก์ซึ่งไม่ได้เป็นบริษัทลูกในเครือธนาคารมักมีมาตรฐานและการควบคุมที่ไม่เข้มงวดเท่าธนาคาร ระบบปฏิบัติงานของบริษัทเหล่านี้ยังพึ่งพาบุคคลเป็นส่วนใหญ่ ทำให้มีความเสี่ยงต่อความผิดพลาดจากการทำงาน การปฏิบัติตามกฎระเบียบ และการทุจริตฉ้อโกง

ความเสี่ยงด้านตลาด (Market Risk):

ความเสี่ยงด้านตลาดเกิดจากการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยที่ทำให้ต้นทุนทางการเงินของบริษัทสูงขึ้น ขณะเดียวกัน ราคารถมือสองลดลงอย่างมากเนื่องจากอุปทานที่สูงจากการเพิ่มขึ้นของรถยึดซึ่งเกิดจากหนี้เสีย
ที่ขยายตัว ส่งผลกระทบต่อราคาประเมินของหลักประกันและอาจทำให้บางบริษัทประสบปัญหาการขาดทุนจากการขายรถยึด

ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบและกฎหมาย (Regulatory Risk):

การเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบต่างๆ สร้างความเสี่ยงทางกฎหมายที่สำคัญต่อการดำเนินงานและกลยุทธ์ของบริษัท เช่นการกำหนดเพดานอัตราดอกเบี้ย การกำกับดูแลด้านการให้บริการลูกค้าอย่างเป็นธรรม ค่าปรับ การขอความร่วมมือช่วยเหลือลูกหนี้ในสถานการณ์ต่างๆ รวมถึงค่าใช้จ่ายที่สามารถเรียกเก็บจากลูกหนี้

แม้การกำกับดูแลในเรื่องต่างๆ นี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค แต่ก็ส่งผลกระทบต่อรายได้และทำให้ผู้ประกอบการรายเล็กที่มีข้อเสียเปรียบในด้านต้นทุนทางการเงินและต้นทุนในการดำเนินงานอาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขันกับผู้ประกอบการรายใหญ่ รวมถึงผู้ประกอบการต้องจำกัดกลุ่มลูกค้าโดยเน้นกลุ่มที่มีความเสี่ยงด้านเครดิตไม่สูงมาก ซึ่งจะส่งผลต่อการขยายสินเชื่อ

Exit mobile version