
www.onlinenewstime.com : นักวิชาการ นักกฎหมาย สื่อมวลชน และนักแสดง ร่วมแสดงความเห็น กรณีปัญหา Hate Speech หรือ การใช้วาจาสร้างความเกลียดชัง ผ่านสัมมนาสาธารณะ “Hate Speech บนโลกออนไลน์ บาดแผลร้ายที่ใครต้องรับผิดชอบ” จัดโดย ผู้เข้าอบรมหลักสูตรผู้บริหารการสื่อสารมวลชนระดับกลางด้านกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (บสก.) รุ่นที่ 8 สถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2562
การจัดสัมมนาสาธารณะเรื่อง “Hate Speech บนโลกออนไลน์ มีวัตถุประสงค์ เพื่อสะท้อนปัญหา การใช้วาจาสร้างความเกลียดชัง (Hate Speech) ที่เกิดขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริง และในโลกออนไลน์ และมีผู้ที่ได้รับผลกระทบจาก Hate Speech เป็นจำนวนมาก แต่ก็ยังไม่สามารถหาทางรับมือ เมื่อถูก Hate Speech รวมถึงแนวทางการป้องกัน
ผู้เข้าร่วมสัมมนา ประกอบด้วย ศ.ดร.พิรงรอง รามสูต อาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดร.มาร์ค เจริญวงศ์ อัยการประจำสำนักงานอัยการสูงสุด ดร.ปนัดดา วงศ์ผู้ดี พิธีกรและนักแสดง และนางสาววาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวสายทหาร หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์
ศ.ดร.พิรงรอง รามสูต กล่าวว่า ประทุษวาจา หมายถึง การแสดงออกทางความหมาย ในรูปแบบใดก็ตาม ที่ส่งเสริมการแบ่งแยก และดูหมิ่นศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือยั่วยุให้ใช้ความรุนแรง ต่อบุคคลหรือกลุ่มคน บนอัตลักษณ์ร่วม เช่น เชื้อชาติ ศาสนา เผ่าพันธุ์ เพศสภาพ ความพิการ หรือแม้แต่อุดมการณ์ทางการเมือง โดย “ประทุษวาจา” อาจเป็นการล้อเลียน หรือทำให้ขบขันก็ได้
ศ.ดร.พิรงรอง มองว่า การก้าวข้ามปัญหา Hate Speech คือ การสร้างความเข้าใจ ความสามารถ ที่จะอยู่ร่วมท่ามกลางการแตกต่าง ทั้งยอมรับว่า สังคมไทยมีปัญหา ส่วนหนึ่งเพราะโลกออนไลน์ ที่ผู้คนย้ายเข้าไปมีปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้นเรื่อย ๆ มีลักษณะเสมือน “ห้องแห่งเสียงสะท้อน” ที่ผู้คนเปิดรับ และกลั่นกรองเฉพาะเนื้อหาที่ตรง และตอกย้ำทัศนคติของตนเอง
และปฏิเสธสิ่งที่ไม่ลงรอยด้วยอคติ ในบริบทแบบนี้ ทั้งข่าวลวง (fake news) และ ประทุษวาจา (hate speech) ก็ถูกส่งต่อ และขยายผลอย่างเข้มข้นมากขึ้น เพราะไม่มีเสียงแบบอื่น ขึ้นมาลดทอนหรือแย้งให้เห็น มุมมองที่แตกต่างออกไป
ทั้งนี้การออกกฎหมายมาแก้ปัญหา อาจไม่ใช่ทางออกเพราะสังคมแตกแยก แบ่งขั้วกันไปแล้ว อีกทั้งความยุติธรรมในระบบกฎหมาย ก็ยังเป็นประเด็น ที่ยังเป็นปัญหาด้วยการเมือง ในรูปแบบที่ครอบงำอยู่ในปัจจุบัน
ดร.มาร์ค เจริญวงศ์ กล่าวว่า ประเทศไทยรายล้อมด้วย Hate Speech ส่วนหนึ่ง มาจากความเป็นอัตตาที่สูง ของปัจเจกบุคคล การไม่รับฟังความคิดเห็น ที่ต่างออกไป โดยปัญหา Hate Speech ที่พบในประเทศไทย ซึ่งมีความรุนแรงคือ การใช้วาจา สร้างความเกลียดชังในเรื่องการเมือง
ทั้งนี้ประเทศไทย จะก้าวข้ามปัญหาดังกล่าวไปได้ จำเป็นที่จะต้องปลูกฝัง ให้ภาคประชาชน เปิดใจรับฟังความเห็นต่าง และเรียนรู้จากมุมอื่น ๆ
ที่ประเทศไทย ไม่เคยประสบปัญหา จากความเห็นต่าง อาทิ การเหยียดสีผิว หรือการต่อต้านผู้รักเพศเดียวกัน ซึ่งเป็นประเด็นปัญหา ของต่างประเทศ คำถามคือ ทำไมประเทศ รับเรื่องเหล่านั้นได้ ขณะที่เมื่อเป็นประเด็นการเมืองของไทย กลับใช้วาจาสร้างความเกลียดชัง จนเป็นเหตุให้เกิดความแตกแยกในสมาชิกครอบครัว และเพื่อน
ดร.มาร์ค ย้ำว่า ภาคการศึกษา มีส่วนอย่างยิ่ง ต่อการปลูกฝังความคิด “การยอมรับการเห็นต่าง” ให้แก่เยาวชน และสถาบันครอบครัว ก็มีส่วนในการสนับสนุน การแสดงออกความคิดเห็น ในมุมที่แตกต่างกันได้ และ Hate Speech สมควรยกให้เป็นวาระแห่งชาติ แต่ต้องไม่ผลักดัน ให้เกิดขึ้นในเชิงกฎหมาย แต่ควรจะเป็นวาระแห่งชาติ ในมุมภาคประชาสังคม เพื่อให้เกิดการตื่นตัว และนำซึ่งการแก้ไขปัญหาในระยะยาว
นางสาววาสนา นาน่วม มองว่าประเทศไทย ตกอยู่ในสภาพ Hate Speech มาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะความเห็นแตกต่างทางการเมือง ที่มีการแบ่งสี แบ่งฝ่าย แบ่งขั้วชัดเจน ดังนั้นเมื่อมีประเด็นสังคมใด ๆ เกิดขึ้น ก็จะมีความพยายามที่จะโยงไปทางการเมือง ของตนเองมาตัดสิน และเมื่อแสดงความคิดเห็นทางการเมืองของตัวเอง ใส่ลงใน Social Media ทำให้เกิดความเห็นที่แตกต่าง
และยังมีการนำ Hate Speech จนลุกลาม ก่อให้เกิดปัญหาในวงกว้าง ทั้งนี้ เห็นด้วยว่า ปัญหาดังกล่าว ควรจะถูกยกให้เป็นวาระแห่งชาติ แม้ว่าจะเป็นเรื่องยาก ที่สังคมไทยจะก้าวข้าม แต่ก็ต้องพยายาม เพราะปัญหาสำคัญของเรื่องนี้ อยู่ที่แนวคิดทางการเมืองที่แตกต่างกันไป
เพราะฉะนั้นถ้าทุกคนเริ่ม ที่จะเปิดใจมากขึ้นว่า ถ้ามีคนคิดต่าง อย่ามองเขาเป็นศัตรู หรือถึงขั้นเปิดวิวาทะ ทะเลาะกันในสังคมออนไลน์ ทั้งนี้อยากให้ทุกฝ่าย เปิดรับฟังความคิดเห็นคนที่แตกต่างได้ และต้องยอมรับว่า เป็นเรื่องที่ยากมากที่จะเห็นภาพนั้น เพียงแต่ว่าคนที่เจอ Hate Speech ต้องปรับตัวเอง ให้สามารถที่จะรับกับสถานการณ์ที่ตัวเองโดนให้ได้
“เรื่องนี้เคยถูกหยิบยกมาพูด ในสมาคมนักข่าว ว่าถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก และไม่เฉพาะแต่วิชาชีพสื่อมวลชนเท่านั้น ควรขยายไปยังทุกสาขาวิชาชีพ ให้เห็นถึงความสำคัญของเรื่องนี้ และควรยกเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อสังคมจะได้เริ่มตระหนักถึงปัญหา Hate Speech ว่าเป็นสิ่งกระตุ้น ให้เกิดความขัดแย้งทางสังคมมากขึ้น”
ดร.ปนัดดา วงศ์ผู้ดี กล่าวว่า ผู้ใช้โซเชียลมีเดีย มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องรู้เท่าทัน และใช้งานอย่างมีสติ อย่าอ่อนไหวไปตามกระแสโซเชียล บางทีต้องมีการกลั่นกรอง และรอพิสูจน์ความจริง
โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชน ครอบครัวควรมีบทบาทสำคัญ และวันนี้ถึงเวลาที่สังคมไทย จะร่วมกันแก้ปัญหาดังกล่าว ควรกำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ เพราะปัญหา Hate Speech ที่เกิดขี้น ไม่ได้แค่การทำลายสุขภาพจิตเท่านั้น แต่ยังคือการสร้างข่าวสารเท็จ ทำร้ายผู้อื่น หลายคนอาจจะมองว่า ไม่ได้ทำร้ายร่างกายกัน แต่การทำร้ายโดยโซเซียลนั้นเป็นการทำลายชื่อเสียงของเขา กลายเป็นแผล และตราบาปที่จะอยู่ในโซเชียลไปอีกนาน