fbpx
News update

สภาพัฒน์เผยจีดีพีไตรมาส 2 ติดลบ 12.2% พร้อมชูนโยบายศก.มหภาครับมือ

Onlinenewstime.com : ศ.พิเศษ ดร.ทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพร้อมคณะผู้บริหารที่เกี่ยวข้อง ได้แถลงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในไตรมาสที่สองของปี 2563 และแนวโน้มปี 2563 โดยมีรายละเอียด ดังนี้

เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สองของปี 2563

เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สองของปี 2563 ปรับตัวลดลงร้อยละ 12.2 ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ 2.0 ในไตรมาสก่อนหน้า (%YoY) และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สองของปี 2563 ลดลงจากไตรมาสแรกของปี 2563 (%QoQ_SA) ร้อยละ 9.7 รวมครึ่งแรกของปี 2563 เศรษฐกิจไทยปรับตัวลดลงร้อยละ 6.9

ด้านการใช้จ่าย การระบาดของโรคโควิด 19 ทั้งในและต่างประเทศ ส่งผลให้การส่งออกสินค้าและบริการ การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนปรับตัวลดลง ขณะที่การใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ ขยายตัวสนับสนุนเศรษฐกิจ

การบริโภคภาคเอกชน ปรับตัวลดลงร้อยละ 6.6 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 2.7 ในไตรมาสก่อนหน้า สอดคล้องกับการลดลงของฐานรายได้ในระบบเศรษฐกิจ และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภค ในช่วงการระบาดของโรคโควิด 19 และการดำเนินมาตรการควบคุมและป้องกันการระบาดของภาครัฐ ซึ่งทำให้การบริโภคภาคเอกชน ลดลงทั้งในหมวดสินค้าคงทน กึ่งคงทน และหมวดบริการ สอดคล้องกับการลดลงของการใช้จ่ายในกลุ่มสินค้าและบริการสำคัญ ๆ เช่น การซื้อยานยนต์ (ลดลงร้อยละ 43.0) การใช้จ่ายเกี่ยวกับเสื้อผ้าและรองเท้า (ลดลงร้อยละ 21.4) การใช้จ่ายในร้านอาหารและโรงแรม (ลดลงร้อยละ 45.8) การใช้จ่ายซื้อสินค้าเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ (ลดลงร้อยละ 17.1) อย่างไรก็ดี การใช้จ่ายเพื่อค่าน้ำและค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.8

การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาล เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4 เทียบกับการปรับตัวลดลงร้อยละ 2.8 ในไตรมาสก่อนหน้า อัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายรวมในไตรมาสนี้ อยู่ที่ร้อยละ 22.3 (สูงกว่าอัตราเบิกจ่ายร้อยละ 19.7 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน) รวมครึ่งแรกของปี 2563 การบริโภคภาคเอกชนลดลงร้อยละ 2.1 และการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาลลดลงร้อยละ 0.7

การลงทุนรวม ปรับตัวลดลงร้อยละ 8.0 เทียบกับการลดลงร้อยละ 6.5 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยการลงทุนภาคเอกชนปรับตัวลดลงร้อยละ 15.0 ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ 5.4 ในไตรมาสก่อนหน้า เป็นผลจากการลดลงของการลงทุน ในเครื่องมือเครื่องจักรและการลงทุนในสิ่งก่อสร้าง ร้อยละ 18.4 และร้อยละ 2.1 ตามลำดับ และการลงทุนภาครัฐเพิ่มขึ้นร้อยละ 12.5 เทียบกับการปรับตัวลดลงร้อยละ 9.3 ในไตรมาสก่อนหน้า เป็นผลจากการลงทุนรัฐบาลเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.0 ในขณะที่การลงทุนรัฐวิสาหกิจ ลดลงร้อยละ 0.8 สำหรับอัตราการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนในไตรมาสนี้ อยู่ที่ร้อยละ 17.9 เทียบกับอัตราเบิกจ่ายร้อยละ 10.8 ในไตรมาสก่อนหน้า และร้อยละ 16.8 ในช่วงเดียวกันของปีก่อน รวมครึ่งแรกของปี 2563 การลงทุนรวมลดลงร้อยละ 7.2 โดยการลงทุนภาคเอกชนลดลงร้อยละ 10.2 ขณะที่การลงทุนภาครัฐเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2

ในด้านภาคต่างประเทศ การส่งออกสินค้า มีมูลค่า 49,787 ล้านดอลลาร์ สรอ. ลดลงร้อยละ 17.8 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 1.4 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามภาวะถดถอยรุนแรงของเศรษฐกิจและการค้าโลก โดยปริมาณการส่งออกลดลงร้อยละ 16.1 และราคาส่งออกลดลงร้อยละ 2.0 กลุ่มสินค้าส่งออกที่มูลค่าลดลง เช่น ข้าว (ลดลงร้อยละ 0.9) ยางพารา (ลดลงร้อยละ 41.0) น้ำตาล (ลดลงร้อยละ 28.4) รถยนต์นั่ง (ลดลงร้อยละ45.2) รถกระบะและรถบรรทุก (ลดลงร้อยละ 67.7) ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ยานยนต์ (ลดลงร้อยละ 45.0) เครื่องจักรและอุปกรณ์ (ลดลงร้อยละ 23.4) เคมีภัณฑ์ (ลดลงร้อยละ 20.4) ปิโตรเคมี (ลดลงร้อยละ 18.9) และผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม (ลดลงร้อยละ 42.7) เป็นต้น

กลุ่มสินค้าส่งออกที่มูลค่าขยายตัว เช่น ผลไม้ (ร้อยละ 47.4) ปลากระป๋องและปลาแปรรูป (ร้อยละ 17.9) ผลิตภัณฑ์ยาง (ร้อยละ 23.4) อาหารสัตว์ (ร้อยละ 24.0) และคอมพิวเตอร์ (ร้อยละ 5.8) เป็นต้น การส่งออกสินค้าไปยังตลาด สหรัฐฯ จีน กลับมาขยายตัว ขณะที่การส่งออกไปยังตลาดญี่ปุ่น อาเซียน (9) สหภาพยุโรป (15) ออสเตรเลีย และตะวันออกกลาง (15) ปรับตัวลดลงเมื่อหักการส่งออกทองคำที่ยังไม่ขึ้นรูปออกแล้ว มูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 21.4 และมูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปของเงินบาทลดลงร้อยละ 16.8

รวมครึ่งแรกของปี 2563 การส่งออกสินค้าคิดเป็นมูลค่า 110,654 ล้านดอลลาร์ สรอ. ลดลงร้อยละ 8.2 การนำเข้าสินค้า มีมูลค่า 41,746 ล้านดอลลาร์ สรอ. ลดลงร้อยละ 23.4 (ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 6) เทียบกับการลดลงร้อยละ 1.0 ในไตรมาสก่อนหน้า สอดคล้องกับการลดลงของการส่งออก อุปสงค์ในประเทศ และราคานำเข้าสินค้า โดยปริมาณการนำเข้าลดลงร้อยละ 19.3 ส่วนราคานำเข้าลดลงร้อยละ 5.1 รวมครึ่งแรกของปี 2563 การนำเข้าสินค้าคิดเป็นมูลค่า 94,562 ล้านดอลลาร์ สรอ. ลดลงร้อยละ 12.3

ด้านการผลิต สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร สาขาอุตสาหกรรม สาขาเกษตรกรรม สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า สาขาการขายส่งการขายปลีก และสาขาไฟฟ้าและก๊าซ ปรับตัวลดลง ในขณะที่การผลิตสาขาก่อสร้าง สาขาการเงินการประกันภัย และสาขาข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร ขยายตัวโดยสาขาเกษตรกรรม การป่าไม้ และการประมง ลดลงร้อยละ 3.2 ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ 9.8 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการลดลงของผลผลิตพืชเกษตรสำคัญ ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาภัยแล้ง

ผลผลิตพืชเกษตรสำคัญที่ลดลง ได้แก่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (ลดลงร้อยละ 28.2) มันสำปะหลัง (ลดลงร้อยละ 5.1) และข้าวเปลือก (ลดลงร้อยละ 43.7) ส่วนผลผลิตพืชเกษตรสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ กลุ่มไม้ผล (เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.9) ปาล์มน้ำมัน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.3) และยางพารา (เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.9) ตามลำดับ การผลิตหมวดประมงลดลงร้อยละ 16.1 ในขณะที่หมวดปศุสัตว์ขยายตัวร้อยละ 6.2

ดัชนีราคาสินค้าเกษตรโดยรวมลดลงร้อยละ 1.4 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 8.8 ในไตรมาสก่อนหน้า โดยดัชนีราคาสินค้าสำคัญที่ปรับตัวลดลง เช่น ราคายางพารา (ลดลงร้อยละ 27.0) ราคาสุกร (ลดลงร้อยละ 5.2) ราคาไก่เนื้อ (ลดลงร้อยละ 7.1) ราคามันสำปะหลัง (ลดลงร้อยละ 10.1) ราคากุ้งขาวแวนนาไม (ลดลงร้อยละ 3.5) ส่วนดัชนีราคาสินค้าสำคัญที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เช่น ราคาข้าวเปลือก (เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.7) ราคาปาล์มน้ำมัน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.5) ราคาอ้อย (เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.4)และราคาไข่ไก่ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.8) การลดลงของดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรและดัชนีราคาสินค้าเกษตร ส่งผลให้ดัชนีรายได้เกษตรกรโดยรวมลดลงร้อยละ 6.0 ต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 3 ติดต่อกัน

รวมครึ่งแรกของปี 2563 การผลิตสาขาเกษตรกรรม การป่าไม้ และการประมงลดลงร้อยละ 6.7 โดยดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรลดลงร้อยละ 9.2 ส่วนดัชนีราคาสินค้าเกษตร เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.8 และดัชนีรายได้เกษตรกรโดยรวมลดลงร้อยละ 6.1

สาขาการผลิตอุตสาหกรรม ลดลงร้อยละ 14.4 ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ 2.6 ในไตรมาสก่อนหน้า สอดคล้องกับการลดลงของการส่งออกและอุปสงค์ในประเทศ โดยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนการส่งออกในช่วง 4 ร้อยละ 30 – 60 ลดลงร้อยละ 50.9 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อการส่งออก (สัดส่วนส่งออกมากกว่าร้อยละ 60) ลดลงร้อยละ 13.1 และดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมกลุ่มการผลิตเพื่อบริโภคภายในประเทศ (สัดส่วนส่งออกน้อยกว่าร้อยละ 30) ลดลงร้อยละ 7.6 ตามลำดับ

อัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 52.9 เทียบกับร้อยละ 66.9 ในไตรมาสก่อนหน้า และร้อยละ 65.0 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมสำคัญ ๆ ที่ลดลง เช่น การผลิตยานยนต์ (ลดลงร้อยละ 68.8) การผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม (ลดลงร้อยละ 15.5) การผลิตเครื่องจักรอื่น ๆ ที่ใช้งานทั่วไป (ลดลงร้อยละ39.4) เป็นต้น ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมสำคัญ ๆ ที่เพิ่มขึ้น เช่น การผลิตสัตว์น้ำบรรจุกระป๋อง (ร้อยละ28.6) การผลิตเภสัชภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ที่ใช้รักษาโรค (ร้อยละ 15.4) และการผลิตอาหารสัตว์สำเร็จรูป (ร้อยละ7.0) เป็นต้น

รวมครึ่งแรกของปี 2563 การผลิตสาขาการผลิตอุตสาหกรรมลดลงร้อยละ 8.3 โดยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมลดลงร้อยละ 12.9 อัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 59.9 สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร ลดลงร้อยละ 50.2 ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ 23.3 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการลดลงมากของรายรับจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศ และนักท่องเที่ยวชาวไทย ซึ่งได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19

โดยในไตรมาสนี้มีรายรับรวมจากการท่องเที่ยว 0.019 ล้านล้านบาท ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 97.1 โดยรายรับจากนักท่องเที่ยวชาวไทยอยู่ที่ 0.019 ล้านล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 92.7 ในขณะที่รายรับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทยในไตรมาสนี้ ลดลงทั้งหมด อัตราการเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 6.51 ลดลงจากร้อยละ 51.50 ในไตรมาสก่อนหน้า และลดลงจากร้อยละ 70.79 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

รวมครึ่งแรกของปี 2563 การผลิตสาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหารลดลงร้อยละ 36.2 โดยรายรับจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศอยู่ที่ 0.332 ล้านล้านบาท จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศลดลงร้อยละ 66.2 และอัตราการเข้าพัก เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 29.01 สาขาการขนส่ง และสถานที่เก็บสินค้า ลดลงร้อยละ 38.9 ต่อเนื่องจากการลดลงร้อยละ 6.0 ในไตรมาสก่อนหน้า

สอดคล้องกับการลดลงของกิจกรรมการค้าระหว่างประเทศ การท่องเที่ยว และการผลิตในภาคเกษตรและอุตสาหกรรม ซึ่งทำให้ความต้องการบริการขนส่งลดลง โดยบริการขนส่งทางอากาศลดลงร้อยละ 89.6 บริการขนส่งทางบกและท่อลำเลียงลดลงร้อยละ 43.9 และบริการขนส่งทางน้ำลดลงร้อยละ 2.2 ตามลำดับ ประกอบกับบริการสนับสนุนการขนส่งลดลงต่อเนื่องร้อยละ 26.1 ในขณะที่บริการไปรษณีย์ขยายตัวต่อเนื่อง ร้อยละ 22.9 และเร่งขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า สอดคล้องกับรายรับของผู้ประกอบการ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมครึ่งแรกของปี 2563 การผลิตสาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้าลดลงร้อยละ 21.7 โดยบริการขนส่งลดลงร้อยละ 23.0 บริการสนับสนุนการขนส่งลดลงร้อยละ 14.0 ขณะที่บริการไปรษณีย์ขยายตัวร้อยละ 14.0  

สำหรับสาขาการผลิตที่ขยายตัวได้ในไตรมาสนี้ ประกอบด้วย สาขาก่อสร้างขยายตัวร้อยละ 7.4 ปรับตัวดีขึ้น จากการลดลงร้อยละ 9.9 ในไตรมาสก่อนหน้า ตามการขยายตัวของการก่อสร้างภาครัฐ สาขาการเงินและการประกันภัยขยายตัวร้อยละ 1.7 ชะลอลงจากขยายตัวร้อยละ 4.5 ในไตรมาสก่อนหน้า และสาขาข้อมูลข่าวสารและการสื่อสารเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 ชะลอลงจากการขยายตัวร้อยละ 3.2

รวมครึ่งแรกของปี 2563 การผลิตสาขาก่อสร้างลดลงร้อยละ 1.3 สาขาการเงินและการประกันภัยขยายตัวร้อยละ 3.1 และสาขาข้อมูลข่าวสารและการสื่อสารเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.4

เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ อัตราการว่างงานอยู่ที่ร้อยละ 2.0 เงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยลดลงร้อยละ 2.7 บัญชีเดินสะพัดขาดดุล 0.8 พันล้านดอลลาร์ สรอ. (27.0 พันล้านบาท) หรือคิดเป็นร้อยละ 0.8 ของ GDP เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2563 อยู่ที่ 241.6 พันล้านดอลลาร์ สรอ. และหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2563 มีมูลค่าทั้งสิ้น 7,433.1 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 44.8 ของ GDP

5 แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี 2563

เศรษฐกิจไทยปี 2563 คาดว่าจะปรับตัวลดลงในช่วงร้อยละ (-7.8) – (-7.3) เป็นการปรับลดจากการลดลงร้อยละ (-6.0) – (-5.0) ในการประมาณการครั้งก่อน (ณ 18 พฤษภาคม 2563) โดยเศรษฐกิจทั้งปีมีข้อจำกัดจาก (1) การปรับตัวลดลงมากของจำนวนและรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ (2) ภาวะความถดถอยรุนแรงของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก (3) ผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด 19 ในประเทศ และ(4) ปัญหาภัยแล้ง ทั้งนี้ คาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าจะปรับตัวลดลงร้อยละ 10.0 การบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนรวมปรับตัวลดลงร้อยละ 3.1 และร้อยละ 5.8 ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ในช่วงร้อยละ (-1.2) – (-0.7) และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ 2.5 ของ GDP

รายละเอียดของการประมาณการเศรษฐกิจในปี 2563 ในด้านต่าง ๆ มีดังนี้

1. การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภค การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน คาดว่าจะลดลงร้อยละ 3.1 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 4.5 ในปี 2562 และการลดลงร้อยละ 1.7 ในการประมาณการครั้งก่อน ตามฐานรายได้จากภาคการท่องเที่ยวและการส่งออกที่อยู่ในระดับต่ำกว่าการประมาณการครั้งที่ผ่านมา

อย่างไรก็ดี การบริโภคภาคเอกชน มีแนวโน้มที่จะเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นอย่างช้า ๆ ในช่วงครึ่งปีหลัง ตามการผ่อนคลายมาตรการควบคุมและป้องกันการระบาดของโรค และการไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่จากการติดเชื้อภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้ประชาชนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น ท่ามกลางการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและฐานรายได้อย่างช้าๆ

การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคภาครัฐบาล คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 3.6 เท่ากับการประมาณการครั้งก่อน และเร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ1.4 ในปี 2562 สอดคล้องกับการคงสมมติฐานการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำ ภายใต้กรอบงบประมาณสำคัญ ๆ ไว้เท่ากับการประมาณการครั้งที่ผ่านมา

2. การลงทุนรวม คาดว่าจะลดลงร้อยละ 5.8 เทียบกับการลดลงร้อยละ 2.1 ในการประมาณการครั้งก่อน และการขยายตัวร้อยละ 2.1 ในปี 2562 โดยการลงทุนภาครัฐ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 8.6 เทียบกับร้อยละ 5.6 ในการประมาณการครั้งก่อน และเร่งขึ้นจากร้อยละ 0.2 ในปี 2562 สอดคล้องกับการปรับเพิ่มสมมติฐานการเบิกจ่ายงบลงทุน ภายใต้กรอบงบประมาณรายจ่ายปี 2563 จากเดิมร้อยละ 55.0 ในการประมาณการครั้งก่อน เป็นร้อยละ 60.0 ในการประมาณการครั้งนี้ ส่วนการลงทุนภาคเอกชน คาดว่าจะลดลงร้อยละ 10.2 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 2.8 ในปี 2562 และเป็นการปรับลดจากการลดลงร้อยละ 4.2 ในการประมาณการครั้งก่อน สอดคล้องกับการปรับตัวลดลงของการส่งออก อัตราการใช้กำลังการผลิต

ภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งความเชื่อมั่นภาคธุรกิจที่อยู่ในระดับต่ำ ข้อจำกัดด้านการเดินทางของนักลงทุนระหว่างประเทศ และสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูง

3. มูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปเงินดอลลาร์ สรอ. คาดว่าจะลดลงร้อยละ 10.0 เทียบกับการลดลงร้อยละ 3.3 ในปี 2562 และเป็นการปรับลดจากการลดลงร้อยละ 8.0 ในการประมาณการครั้งก่อน โดยเป็นผลจากการปรับลดประมาณการปริมาณการส่งออกสินค้า จากเดิมที่คาดว่าจะลดลงร้อยละ 6.0 เป็นการลดลงร้อยละ 9.0 สอดคล้องกับการปรับลดสมมติฐานเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก

ขณะที่คาดว่าราคาสินค้าส่งออกจะลดลงร้อยละ 1.0 เทียบกับการลดลงร้อยละ 2.0 ในสมมติฐานประมาณการครั้งก่อน เมื่อรวมกับการปรับลดประมาณการการส่งออกบริการ ตามการปรับลดสมมติฐานรายรับนักท่องเที่ยวต่างชาติจาก 0.59 ล้านล้านบาท ในการประมาณการครั้งก่อนเป็น 0.31 ล้านล้านบาทในการประมาณการครั้งนี้ คาดว่าจะส่งผลให้ปริมาณการส่งออกสินค้าและบริการลดลงร้อยละ 20.9 เทียบกับการลดลงร้อยละ 17.3 ในการประมาณการครั้งก่อนหน้า และการลดลงร้อยละ 2.6 ในปี 2562

6 ประเด็นการบริหารเศรษฐกิจในปี 2563

การบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคในปี 2563 ควรให้ความสำคัญกับการป้องกันการกลับมาระบาดของไวรัสในประเทศ ควบคู่ไปกับการบริหารนโยบายเศรษฐกิจในประเด็นสำคัญๆ ประกอบด้วย

(1) การประสานนโยบายการเงินการคลังเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดย (i) การเร่งรัดติดตามมาตรการที่ได้ดำเนินการไปแล้วให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีความยืดหยุ่น สอดคล้องกับเงื่อนไขในการฟื้นตัวของแต่ละภาคธุรกิจ (ii) การติดตามและป้องกันปัญหาในบางภาคการผลิตที่อาจส่งผลกระทบเชื่อมโยงไปยังภาคการเงิน และ (iii) การสร้างสภาพแวดล้อมทางการเงินเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

(2) การพิจารณามาตรการเพิ่มเติมสำหรับธุรกิจและแรงงานในสาขาเศรษฐกิจที่ยังมีปัญหาอุปสรรคในการฟื้นตัว โดยเฉพาะ (i) กลุ่มธุรกิจและแรงงานในภาคการท่องเที่ยวและบริการเกี่ยวเนื่อง (ii) กลุ่มผู้ประกอบการ SMEsที่ยังมีศักยภาพในการฟื้นตัวแต่ยังมีปัญหาอุปสรรคในการเข้าถึงมาตรการภาครัฐ (iii) กลุ่มธุรกิจและแรงงาน ที่อยู่ในช่วงของการปิดกิจการชั่วคราว รวมทั้งการให้ความสำคัญกับการดูแลผู้ว่างงานและแรงงานที่จะเข้าสู่ตลาดแรงงานใหม่

(3) การขับเคลื่อนการส่งออกสินค้าและสนับสนุนการฟื้นตัวของภาคการผลิตและการลงทุนภาคเอกชน โดยให้ความสำคัญกับ (i) การขับเคลื่อนการส่งออกสินค้า ที่ได้รับประโยชน์จากการเบี่ยงเบนทิศทางทางการค้า และการย้ายฐานการผลิตในช่วงก่อนหน้า รวมทั้งกลุ่มสินค้าที่ได้รับประโยชน์เพิ่มเติมจากการระบาดของโรคโควิด 19 (ii) การใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของประเทศไทยในด้านขีดความสามารถในการควบคุมการระบาดของโรค และ (iii) การส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศภายในกลุ่มอาเซียน

(4) การดูแลภาคการเกษตรที่ประสบปัญหาภัยแล้งและการลดลงของราคาสินค้าส่งออกโดยให้ความสำคัญกับ (i) การจัดหาแหล่งน้ำและการบริหารจัดการน้ำ (ii) การชดเชยเยียวยาเกษตรกร (iii) การปรับเปลี่ยนการผลิตในภาคเกษตร และ (iv) การสนับสนุนช่องทางการจำหน่ายสินค้าเกษตรออนไลน์และบริการโลจิสติกส์ต้นทุนต่ำ

(5) การขับเคลื่อนการใช้จ่ายภาครัฐภายใต้กรอบสำคัญ ๆ ทั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 ในไตรมาสแรก และงบประมาณกันไว้เบิกเหลื่อมปี ควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนมาตรการการสร้างศักยภาพการขยายตัวทางเศรษฐกิจระยะยาว

(6) การส่งเสริมไทยเที่ยวไทยและการรณรงค์ใช้สินค้าที่ผลิตภายในประเทศ

(7) การเตรียมการรองรับความเสี่ยงสำคัญ ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากความยืดเยื้อของการระบาดของโรคและการกลับมาระบาดในระลอกที่สอง ความผันผวนของเศรษฐกิจและการเงินโลก และเงื่อนไขความเปราะบางของระบบเศรษฐกิจการเงินโลกในระยะปานกลาง

(8) การรักษาบรรยากาศทางการเมืองในประเทศเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบซ้ำเติมปัญหาเศรษฐกิจ และเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ยังเป็นไปอย่างช้าๆ และยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูง

สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

17 สิงหาคม 2563

error: Content is protected !!