fbpx
News update

ม.มหิดลสร้างนวัตกรรม ” PM2.5 Footprint Calculator” ตามมาตรฐานสิ่งแวดล้อมโลก

Onlinenewstime.com : วันที่ 4 ธันวาคมของทุกปี กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม กำหนดให้เป็น “วันสิ่งแวดล้อมไทย” ตามที่ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร(ร.9) มีพระราชดำรัสห่วงใยปัญหาสิ่งแวดล้อมไทย

“จริยธรรมสิ่งแวดล้อม” คือ หลักพึงปฏิบัติต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อให้โลกดำรงอยู่ได้อย่างมีดุลยภาพ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการทำงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม เช่นเดียวกับหลักจริยธรรมการวิจัย (Research Integrity) ซึ่งจะก่อให้เกิดความเชื่อมั่น และต่อยอดผลวิจัย ให้เกิดคุณูปการสู่มวลมนุษยชาติได้ต่อไปในอนาคต

ศาสตราจารย์ นายแพทย์บรรจง มไหสวริยะ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า งานวิจัยที่มีคุณค่า ตามหลักจริยธรรมการวิจัย (Research Integrity) ส่งผลต่อคะแนนในการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลก โดยจะต้องมี “ทิศทางที่เป็นบวกในสิ่งที่ถูกต้อง” และ “ทิศทางเป็นลบในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง” ซึ่งจะส่งผลกระทบในการอ้างอิง (Citation) เพื่อการนำไปต่อยอดใช้ประโยชน์ได้ต่อไปในอนาคต

เมื่อเร็วๆ นี้ มหาวิทยาลัยมหิดลได้มีการประกาศ มอบทุนอุดหนุนโครงการขับเคลื่อนนโยบายชี้นำสังคม พ.ศ.2563 เพื่อส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาต่อยอดงานวิจัย สู่นโยบายระดับประเทศ โดย รองศาสตราจารย์ ดร.ตระการ ประภัสพงษา ภาควิชาวิศวกรรมโยธาและสิ่งแวดล้อม คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เป็น 1 ใน 5 ผู้วิจัยที่ ได้รับการคัดเลือกให้ได้รับทุนดังกล่าว จากโครงการ “การเสริมสร้างความตระหนักรู้และการออกแบบนโยบายเพื่อลดผลกระทบต่อสุขภาพมนุษย์ และต้นทุนทางสุขภาพของการเกิดฝุ่นละอองขนาดเล็กจากการขนส่งผู้โดยสารในประเทศไทย”

รองศาสตราจารย์ ดร.จักรกฤษณ์ ศุทธากรณ์ คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า เป็นที่ทราบกันดีว่ามหาวิทยาลัยมหิดล มีจุดแข็งด้านการแพทย์และสุขภาพ ซึ่งในการวิจัยทางด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องฝุ่น PM2.5 

จะเห็นได้ว่า คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล มีความแตกต่าง ตรงที่เรามีการวิจัยถึง “ผลกระทบที่มีต่อสุขภาพมนุษย์” ซึ่งจะสามารถช่วยชี้นำสังคม และเป็นประโยชน์ต่อประชาชนได้อย่างแท้จริง โดยเรามุ่งเป็น”ปัญญาของแผ่นดิน” หรือ “Wisdom of the Land” ตามปณิธานของมหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อการขับเคลื่อนงานวิจัยให้ส่งผลกระทบ(Impact) ที่ตอบโจทย์ในระดับนโยบายของประเทศ และขยายผลสู่ระดับสากลต่อไป

รองศาสตราจารย์ ดร.ตระการ ประภัสพงษา ผู้วิจัย กล่าวว่า ในการจะทำให้งานวิจัยได้รับความเชื่อมั่น จะต้องมีผลการวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์ ผ่านวารสารทางวิชาการที่น่าเชื่อถือ ก่อนที่จะนำผลการวิจัยไปใช้ให้เกิด Impact หรือผลกระทบที่เป็นมาตรฐานต่อไป

โดยโครงการที่ได้รับคัดเลือกให้ได้รับทุนนี้ เป็นโครงการที่มีความร่วมมือ ในระดับนานาชาติจาก Technical University of Denmark (DTU) ซึ่งเป็นสถาบันโพลีเทคนิคแห่งแรกของประเทศเดนมาร์ก และได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในอันดับต้นๆ ของสถาบันวิศวกรรมชั้นนำของยุโรป และยังมีความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยต่างๆ ในประเทศไทย ได้แก่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยโครงการฯ กำลังอยู่ในขั้นตอนการตีพิมพ์ในวารสารระดับนานาชาติ

ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีการทำงานวิจัยเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ในส่วนของ Carbon Footprint หรือ ผลกระทบจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และWater Footprint หรือ การวัดผลกระทบจากการใช้น้ำ แต่ยังไม่พบว่ามี “PM2.5 Footprint” เพื่อดูผลกระทบที่มีต่อสุขภาพมนุษย์

โดยโครงการที่เราทำขึ้นนี้จะเป็นการสร้างนวัตกรรม “PM2.5 Footprint Calculator” หรือ การคำนวณผลกระทบต่อสุขภาพจากฝุ่น PM2.5 ตามหลักการของแนวคิดริเริ่มวัฏจักรชีวิตภายใต้โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ ร่วมกับ สมาคมพิษวิทยาสิ่งแวดล้อมและเคมี (UNEP/SETAC life cycle initiative) ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์กรระดับโลก ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อสำรวจและประเมินแนวโน้ม ที่มีผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม โดยเฟสแรกจะจัดทำเป็นเว็บไซต์ และขยายผลจัดทำเป็นแอปพลิเคชัน ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในเอเชีย

รองศาสตราจารย์ ดร.ตระการ ประภัสพงษา อธิบายว่า ฝุ่น PM2.5 เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ ที่เกิดจากการเผาไหม้ โดยเครื่องมือที่คิดค้นขึ้นนี้จะดูการไหลของมลพิษ ในเบื้องต้น จะศึกษาข้อมูลจากการขนส่งผู้โดยสารในประเทศไทย แล้วดูผลกระทบจากฝุ่น PM2.5 เป็นจำนวน “ปีสุขภาวะที่สูญเสีย” หรือ การวัดสถานะทางสุขภาพของประชากรแบบองค์รวม ว่าสูญเสียไปเท่าใด

ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจำนวนประชากร ซึ่งยิ่งมากยิ่งส่งผลกระทบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเขตกรุงเทพมหานคร จะได้รับผลกระทบมากกว่าเขตต่างจังหวัด อย่างไรก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ  เพราะฝุ่นPM2.5 ยังคงเกิดขึ้นอยู่ตลอด โดยทั่วไปในเขตกรุงเทพมหานคร จะพบมากในช่วงที่อากาศปิดในช่วงฤดูหนาว ซึ่งเริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป

ในการทำวิจัยได้มีการลงพื้นที่เก็บข้อมูลแบบทุติยภูมิจาก กรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยให้นักศึกษาปริญญาโทและเอกหลักสูตรนานาชาติของ คณะวิศวกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล ได้มีส่วนร่วมในการดำเนินงานวิจัย

ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนการสอนประเมินวัฏจักรชีวิต จากนั้นจะร่วมกับ ศูนย์เครือข่ายการจัดการคุณภาพอากาศแห่งประเทศไทย (TAQM) เพื่อกระจายข่าวสาร ข้อมูล ตลอดจนหาความร่วมมือ และระดมความคิดเห็นต่อไป

ซึ่งการวิจัยจะไม่ใช่เพียงแค่ “Research for Research” แต่เป็น”Research to Impact” หรือ “Research for Implementation” ซึ่งเป็นการวิจัย เพื่อหวังผลกระทบที่ตอบโจทย์ โดยจะมีการต่อยอดกับภาคเอกชน เพื่อใช้ในการประเมินผลกระทบจากฝุ่น PM2.5 ในระดับอุตสาหกรรม ซึ่งโครงการนี้ไม่ได้ทำเพียงเพื่อให้เกิด “การตระหนักรู้” แต่หวังผลที่จะผลักดันให้เกิด “นโยบายที่ใช้ได้จริง” ในระดับประเทศ และระดับสากลต่อไป

error: Content is protected !!