fbpx
News update

เร่งสร้างการรับรู้ “ไม้ยืนต้น” ใช้เป็นหลักประกันทางธุรกิจได้

onlinenewstime.com : กระทรวงพาณิชย์ ลงพื้นที่จังหวัดขอนแก่น เร่งสร้างการรับรู้กฎหมายหลักประกันทางธุรกิจ ไม้ยืนต้น ใช้เป็นหลักประกันทางธุรกิจได้ หลังกฎกระทรวงฯ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 6 พฤศจิกายน 2561 ที่ผ่านมา

พร้อมส่งเสริมให้เกษตรกรรวมกลุ่มสร้างชุมชนไม้มีค่า ใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน เก็บออมเป็นของครอบครัว หวัง!! สร้างมรดกผืนป่าให้ลูกหลาน เพิ่มพื้นที่ป่าไม้และสร้างออกซิเจนให้ประเทศ เตรียมพัฒนาให้เป็นแหล่งคาร์บอนเครดิตเพื่อการซื้อขายในอนาคต

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า “วันนี้ (วันพุธที่ 14 พฤศจิกายน 2561) ได้ลงพื้นที่จังหวัดขอนแก่น เพื่อสร้างการรับรู้และชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับกฎหมายหลักประกันทางธุรกิจ หลังจากที่กฎกระทรวงกำหนดให้ทรัพย์สินอื่นเป็นหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ.2561 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 6 พฤศจิกายน 2561 ที่ผ่านมา เป้าหมายหลักของการลงพื้นที่ในครั้งนี้ คือ การชี้แจงรายละเอียดสำคัญประเด็น “ไม้ยืนต้น ใช้เป็นหลักประกันทางธุรกิจได้”

โดยไม้ยืนต้นที่ปลูกในที่ดินกรรมสิทธิ์ของเกษตรกรและประชาชน เป็นทรัพย์สินที่สามารถนำมาใช้เป็นหลักประกัน เพื่อขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินได้ ซึ่งก่อนหน้านี้ ไม้ยืนต้นที่ปลูกในที่ดินกรรมสิทธิ์ จะไม่ได้รับการประเมินในการให้สินเชื่อ จะประเมินเฉพาะส่วนที่เป็นที่ดินเท่านั้น

แต่หลังจากที่กฎกระทรวงฯ มีผลบังคับใช้ ทำให้สถาบันการเงินสามารถเพิ่มประเภททรัพย์สินในการให้สินเชื่อมากขึ้น ส่งผลดี ทั้งต่อสถาบันการเงินและเกษตรกร / ประชาชนที่ต้องการใช้ไม้ยืนต้นเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน ในการขอสินเชื่อ โดยมีกฎหมายรองรับอย่างชัดเจน”

“นอกจากนี้ ยังส่งเสริมให้เกษตรกรและคนในชุมชนรวมกลุ่มกันสร้าง “ชุมชนไม้มีค่า” ตามแนวนโยบายประชารัฐ และไทยนิยมยั่งยืนของรัฐบาล เพื่อส่งเสริมให้มีการปลูกไม้มีค่าทางเศรษฐกิจ ในที่ดินกรรมสิทธิ์ หรือที่ดินที่มีสิทธิ์ในการใช้ประโยชน์ โดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งจะนำไปสู่ผลสัมฤทธิ์ของประเทศ ตั้งแต่ระดับฐานราก เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจ ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ของคนในชุมชนให้ดีขึ้น เข้มแข็งขึ้น เติบโตอย่างยั่งยืน สามารถพึ่งพาตนเองได้ในระยะยาว

รวมทั้ง ช่วยเพิ่มพื้นที่ป่า ซึ่งเป็นแหล่งออกซิเจน ให้แก่ประเทศ ลดภาวะก๊าซเรือนกระจกที่เป็นปัญหาสำคัญระดับโลก โดยรัฐบาลได้กำหนดเป้าหมายให้เกิดชุมชนไม้มีค่า จำนวน 20,000 ชุมชน ภายใน 10 ปี ส่งเสริมและขยายผลให้ประชาชน 2.6 ล้านครัวเรือนปลูกต้นไม้รวมทั้งสิ้นจำนวน 1,000 ล้านต้น ซึ่งจะทำให้มีพื้นที่ป่าเพิ่มขึ้น 26 ล้านไร่ เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจเฉลี่ย 1 ล้านล้านบาทต่อปี

ทั้งนี้ บ้านท่าลี่ ต.บ้านกง อ.หนองเรือ จ.ขอนแก่น เป็นแหล่งชุมชนที่เป็นธนาคารต้นไม้แห่งแรกของประเทศไทย ชื่อว่า “ธนาคารต้นไม้บ้านท่าลี่” และกำลังพัฒนาสู่การเป็นชุมชนไม้มีค่า ที่มีความหลากหลายของสายพันธุ์ต้นไม้ และเป็นต้นแบบ สำหรับชุมชนอื่นๆ ที่กำลังจะพัฒนาให้เป็นชุมชนไม้มีค่าของประเทศ”

“พร้อมกันนี้ ได้เตรียมพัฒนาพื้นที่ปลูกป่าทั่วประเทศ ให้เป็นแหล่ง “คาร์บอนเครดิต” (Carbon Credit) ของโลกเพื่อการซื้อขายในอนาคต โดย คาร์บอนเครดิต เป็นสินค้าชนิดหนึ่ง ที่สามารถตีราคาเป็นเงิน และสามารถซื้อขายกันได้ในตลาดเฉพาะ ที่เรียกว่า ตลาดคาร์บอน ณ ปัจจุบัน ยังไม่มีการซื้อขายคาร์บอนเครดิตในประเทศไทยเลย

แต่ในอนาคตคาดว่าจะเป็นสินค้าที่มีความสำคัญ และมีการซื้อขายกันมากยิ่งขึ้น เพื่อทดแทนการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (คาร์บอนไดออกไซต์) ที่ส่วนใหญ่ เกิดจากการเผาผลาญเชื้อเพลิงในโรงงานอุตสาหกรรมหรือจากการคมนาคม”

“คาร์บอนเครดิต หมายถึง ก๊าซที่เป็นตัวทำให้ปฏิกิริยาเรือนกระจกต่างๆ ที่แต่ละโรงงานสามารถลดได้ จะถูกตีราคาเป็นเงิน ก่อนจะถูกขายเป็นเครดิตไปยังประเทศที่พัฒนาแล้ว ตามข้อตกลงในพิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocal) ที่กำหนดให้ประเทศพัฒนาแล้ว (Annex1) ต้องลดปริมาณการปล่อยก๊าซที่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาเรือนกระจก (Green House Effect)

ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ “โลกร้อน” ในหลายแนวทาง หนึ่งในนั้นคือ “การซื้อขายมลพิษ” หรือ คาร์บอนเครดิต กับประเทศที่กำลังพัฒนา (Non-Annex1) เพราะประเทศที่พัฒนาแล้ว ไม่สามารถลดก๊าซ ที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาเรือนกระจกลงได้ ดังนั้น การซื้อขายคาร์บอนเครดิต จึงเปรียบเสมือนความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมโลกร่วมกัน ของผู้ประกอบการจากประเทศที่พัฒนาแล้ว”

รมว.พณ.กล่าวเพิ่มเติมว่า “การลงพื้นที่ในครั้งนี้ ยังได้มีการตรวจติดตามงาน/ภารกิจของกระทรวงพาณิชย์ และกรมพัฒนาธุรกิจการค้าในส่วนอื่นๆ ด้วย ได้แก่ การมอบประกาศเกียรติคุณ และป้ายตราสัญลักษณ์ Thai SELECT ให้แก่ร้านแซบนัว ครัวอีสาน จ.ขอนแก่น เนื่องจากเป็นร้านอาหารไทย ที่ผ่านเกณฑ์การประเมินจากคณะกรรมการฯ ให้ได้รับตราสัญลักษณ์ Thai SELECT UNIQUE ซึ่งเป็นร้านอาหารที่ใช้วัตถุดิบ และเครื่องปรุงอาหารของไทย มีการตกแต่งบรรยากาศร้าน ที่มีกลิ่นไอของความเป็นไทย

รวมถึง มีรายการอาหารประจำถิ่น หรือ อาหารอัตลักษณ์ท้องถิ่นรวมอยู่ด้วย ปัจจุบันมีร้านอาหารไทยในประเทศไทยที่ได้รับตราสัญลักษณ์ Thai SELECT แล้ว จำนวนทั้งสิ้น 573 ร้าน แบ่งเป็น 1) Thai SELECT PREMIUM จำนวน 7 ร้าน 2) Thai SELECT UNIQUE จำนวน 50 ร้าน และ 3) Thai SELECT จำนวน 516 ร้าน (ข้อมูล ณ วันที่ 12 พฤศจิกายน 2561)”

“นอกจากนี้ ได้เป็นประธานเปิดโครงการฝึกอบรม “ยกระดับร้านค้าธงฟ้าประชารัฐเพื่อรองรับนโยบายผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติขอนแก่น (KICE)

ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล ที่ต้องการพัฒนาศักยภาพ และยกระดับร้านค้าธงฟ้าประชารัฐให้มีความเข้มแข็ง พร้อมเป็นเครื่องมือสำคัญ ในการช่วยดูแลค่าครองชีพที่จำเป็นในชีวิตประจำวันของคนในท้องถิ่น ให้ได้ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคอย่างทั่วถึง รวดเร็ว ในราคาที่เป็นธรรม ตลอดจนเป็นช่องทางการตลาด ให้กับผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์ชุมชนทั่วประเทศ ในการกระจายสินค้าไปยังสถานที่ต่างๆ

ซึ่งจะส่งผลดีในการช่วยสร้างความเข้มแข็ง ให้กับร้านค้าปลีกรายย่อย/ร้านค้าชุมชนที่เข้าร่วมโครงการฯ สร้างรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการในระยะยาว ทำให้เศรษฐกิจฐานรากมีความเข้มแข็งและมั่นคงตามไปด้วย

โดยโครงการฝึกอบรมฯ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 14 – 29 พฤศจิกายน 2561 แบ่งออกเป็น 11 รุ่น ครอบคลุมร้านค้าธงฟ้าประชารัฐในจังหวัดขอนแก่น จำนวนทั้งสิ้น 891 ร้านค้า (รองรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐครบทุกตำบล อย่างน้อยตำบลละ 1 ร้านค้า) ทั้งนี้ จังหวัดขอนแก่นมีประชากรทั้งสิ้น 1,805,910 คน แบ่งพื้นที่การปกครองออกเป็น 26 อำเภอ 199 ตำบล 2,331 หมู่บ้าน มีผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 358,129 คน”

นอกจากนั้ยังได้ลงพื้นที่ เพื่อติดตามมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร และรักษาเสถียรภาพราคาข้าวของรัฐบาล ณ สหกรณ์การเกษตรน้ำพอง จำกัด ซึ่งได้เข้าร่วมโครงการ ตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการจะดูดซับผลผลิตข้าวเปลือก ในช่วงออกสู่ตลาดมากของรัฐบาล ได้แก่

(1) โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ซึ่งเกษตรกรจะได้รับค่าฝากเก็บ ตันละ 1,500 บาท กรณีฝากเก็บไว้ในยุ้งฉางตนเอง และตันละ 1,000 บาท กรณีฝากเก็บไว้ที่สหกรณ์ และการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ในอัตราไร่ละ 1,500 บาท ไม่เกิน 12 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 18,000 บาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาครัวเรือนละ 6,000 บาท

(2) โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร”

“จากการดำเนินโครงการฯ ดังกล่าว ส่งผลให้ปัจจุบันเกษตรกร จำหน่ายผลผลิตข้าวเปลือกในระดับที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าวเปลือกหอมมะลิ ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งมีราคาเพิ่มสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แม้จะอยู่ในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดมากที่ตันละ 17,700 บาท (เกี่ยวสด ตันละ 13,500 – 14,500 บาท)ในส่วนของข้าวเหนียวได้ปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน จากราคาตันละ 7,700 – 9,800 บาท เมื่อปีที่แล้ว ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นตันละ 9,000 – 10,500 บาท”

k_sonthirat03

ในโอกาสนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ยังได้มอบเงินตามโครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยว และปรับปรุงคุณภาพข้าวตามนโยบายของรัฐบาลให้เกษตรกร ในเขตอำเภอน้ำพอง ครัวเรือนละ 1,500 บาท/ไร่ ซึ่งเกษตรกรทุกราย ที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกร จะได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล ภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายน 2561 นี้ โดย ธ.ก.ส. จะโอนเงินช่วยเหลือเข้าบัญชีของเกษตรกรโดยตรง

ทั้งนี้ สหกรณ์การเกษตรน้ำพอง จำกัด ได้รับการจดทะเบียนตามพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ.2511 ตามเลขทะเบียนที่ กสก.35/2519 เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2519 ปัจจุบันมีสมาชิกจำนวน 6,019 คน (103 กลุ่ม) (ข้อมูล ณ วันที่ 12 พฤศจิกายน 2561)