fbpx
News update

กรมพัฒน์ฯแถลงการจดทะเบียนธุรกิจประจำเดือนมีนาคม 2563 และไตรมาส 1/2563

Onlinenewstime.com : นายวุฒิไกร  ลีวีระพันธุ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า แถลงข่าวการจดทะเบียนธุรกิจของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ประจำเดือนมีนาคม 2563 และไตรมาส 1/2563  โดยมีรายละเอียด ดังนี้ 

ผลการจดทะเบียนธุรกิจ

ธุรกิจจัดตั้งใหม่เดือนมีนาคม 2563

  • จำนวนธุรกิจจัดตั้งใหม่  มีผู้ประกอบธุรกิจยื่นขอจดทะเบียนจัดตั้ง ห้างหุ้นส่วน บริษัทใหม่ทั่วประเทศ ในเดือนมีนาคม 2563 จำนวน 6,066 ราย โดยมีมูลค่าทุนจดทะเบียน จำนวน 24,576 ล้านบาท
  • ประเภทธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 579 ราย คิดเป็น  ร้อยละ 10 รองลงมา คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 370 ราย คิดเป็นร้อยละ 6 และอันดับ 3 คือ ธุรกิจภัตตาคาร ร้านอาหาร จำนวน 157 ราย คิดเป็นร้อยละ 3 ตามลำดับ
  • ธุรกิจจัดตั้งใหม่แบ่งตามช่วงทุน  โดยช่วงทุน ที่มีจำนวนรายธุรกิจจัดตั้งใหม่ทั่วประเทศ มากที่สุด ได้แก่ ช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท มีจำนวน 4,347 ราย คิดเป็นร้อยละ 71.66 รองลงมาช่วงทุนมากกว่า 1-5 ล้านบาท จำนวน 1,597 ราย คิดเป็นร้อยละ 26.33 ลำดับถัดไป คือ ช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท มีจำนวน 109 ราย คิดเป็นร้อยละ 1.80 และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท จำนวน 13 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.21 ตามลำดับ    

ธุรกิจจัดตั้งใหม่ไตรมาส 1/2563

  • จำนวนธุรกิจจัดตั้งใหม่  มีผู้ประกอบธุรกิจ ยื่นขอจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนบริษัทจัดตั้งใหม่ทั่วประเทศ ไตรมาส 1/2563 (ม.ค.-มี.ค.) จำนวน 19,415 ราย เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2562 (ต.ค.-ธ.ค.) จำนวน 13,877 ราย เพิ่มขึ้นจำนวน 5,538 ราย คิดเป็นร้อยละ 40 และเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2562 จำนวน 20,750 ราย ลดลงจำนวน 1,335 ราย คิดเป็นร้อยละ 6
  • ประเภทธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 1,809 ราย คิดเป็นร้อยละ 9 รองลงมา คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 1,053 ราย คิดเป็นร้อยละ 5 และธุรกิจภัตตาคาร / ร้านอาหาร จำนวน 573 ราย คิดเป็นร้อยละ 3 ตามลำดับ
  •  มูลค่าทุนธุรกิจจัดตั้งใหม่ในไตรมาส 1/2563  มีจำนวนทั้งสิ้น 71,130 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส4/2562  จำนวน 141,355 ล้านบาท ลดลงจำนวน 70,225 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 50 และเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2562 จำนวน 52,391 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 18,739 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 36
  •   ธุรกิจจัดตั้งใหม่แบ่งตามช่วงทุน  โดยช่วงทุนที่มีจำนวนรายธุรกิจจัดตั้งใหม่ ทั่วประเทศมากที่สุด ได้แก่ ช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท มีจำนวน 14,068 ราย คิดเป็นร้อยละ 72.46 รองลงมา คือช่วงทุนมากกว่า 1-5 ล้านบาท จำนวน 5,029 ราย คิดเป็นร้อยละ 25.90 รองลงมา คือช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท มีจำนวน 283 ราย คิดเป็นร้อยละ 1.46 และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท จำนวน 35 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.18    

ธุรกิจเลิกประกอบกิจการ เดือนมีนาคม 2563

  • จำนวนธุรกิจเลิกประกอบกิจการ ประจำเดือนมีนาคม 2563 มีจำนวน 947 ราย โดยมีมูลค่าทุนจดทะเบียนจำนวน 4,529 ล้านบาท 
  • ประเภทธุรกิจเลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 83 ราย  คิดเป็นร้อยละ 9 รองลงมาคือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 60 ราย คิดเป็นร้อยละ 6 และธุรกิจภัตตาคาร / ร้านอาหาร จำนวน 31 ราย คิดเป็นร้อยละ 3 ตามลำดับ
  •  ธุรกิจเลิกประกอบกิจการแบ่งตามช่วงทุน  โดยช่วงทุนที่มีจำนวนรายธุรกิจเลิกประกอบกิจการทั่วประเทศ มากที่สุด ได้แก่ ช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท จำนวน 615 ราย คิดเป็นร้อยละ 64.94 รองลงมาช่วงทุนมากกว่า 1- 5  ล้านบาท จำนวน 287 ราย คิดเป็นร้อยละ 30.31 ลำดับถัดไป คือ ช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท จำนวน 41 ราย  คิดเป็นร้อยละ 4.33 และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท มีจำนวน 4 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.42 ตามลำดับ     

ธุรกิจเลิกประกอบกิจการไตรมาส 1/2563

  • จำนวนธุรกิจเลิกประกอบกิจการ  มีจำนวน 3,169 ราย  เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2562 จำนวน 10,175 ราย ลดลงจำนวน 7,006 ราย คิดเป็นร้อยละ 69 และเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2562 จำนวน 3,288 ราย ลดลงจำนวน 119 ราย คิดเป็นร้อยละ 4 ซึ่งเป็นไปตามสถานการณ์ปกติ ที่จะมีแนวโน้มของการจดทะเบียนเลิกประกอบธุรกิจ
  • ประเภทธุรกิจเลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 337 ราย คิดเป็นร้อยละ 11 รองลงมา คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 183 ราย คิดเป็นร้อยละ 6 และธุรกิจภัตตาคาร / ร้านอาหาร จำนวน 92 ราย คิดเป็นร้อยละ 3 ตามลำดับ               
  •  มูลค่าทุนธุรกิจเลิกประกอบกิจการ  ในไตรมาส 1/2563 มีจำนวนทั้งสิ้น 14,456 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2562 จำนวน 37,188 ล้านบาท ลดลงจำนวน 22,733 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 61 และเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2562 จำนวน 9,995 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 4,460 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 45
  • ธุรกิจเลิกประกอบกิจการแบ่งตามช่วงทุน  โดยช่วงทุนที่มีจำนวน รายธุรกิจเลิกประกอบกิจการทั่วประเทศ มากที่สุด ได้แก่ ช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท จำนวน 2,170 ราย คิดเป็นร้อยละ 68.47 รองลงมาคือ ช่วงทุนมากกว่า 1- 5 ล้านบาท จำนวน 860 ราย คิดเป็นร้อยละ 27.14  ลำดับถัดไปคือช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท จำนวน 128 ราย คิดเป็นร้อยละ 4.04 และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท มีจำนวน 11 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.35

 ธุรกิจดำเนินกิจการอยู่ ณ เดือนมีนาคม 2563

  • ธุรกิจดำเนินกิจการอยู่ทั้งสิ้น  (ณ วันที่ 31 มี.ค. 63)  ธุรกิจที่ยังคงดำเนินกิจการอยู่ทั่วประเทศ จำนวน762,229 ราย  มูลค่าทุน 18.56 ล้านล้านบาท จำแนกเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด / ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล จำนวน 187,116 ราย คิดเป็นร้อยละ 24.55 บริษัทจำกัด จำนวน 573,852 ราย คิดเป็นร้อยละ 75.29 และบริษัทมหาชนจำกัด จำนวน 1,261 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.16 ตามลำดับ
  •  ธุรกิจดำเนินกิจการอยู่แบ่งตามช่วงทุน  ธุรกิจส่วนใหญ่มีช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท จำนวน 450,432 ราย คิดเป็นร้อยละ 59.09 รวมมูลค่าทุน 0.40 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 2.16 รองลงมา คือ ช่วงทุนมากกว่า 1-5 ล้านบาท จำนวน 224,96 ราย คิดเป็นร้อยละ 29.45 รวมมูลค่าทุน 0.74 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 3.99 ช่วงถัดไปคือ ช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท จำนวน 71,614 ราย คิดเป็นร้อยละ 9.40 รวมมูลค่าทุน 1.94 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 10.45 และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท จำนวน 15,687 ราย คิดเป็นร้อยละ 2.06 รวมมูลค่าทุน 15.48 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 83.40 ตามลำดับ 

การลงทุนประกอบธุรกิจในไทยภายใต้กฎหมายต่างด้าว

เดือนมีนาคม2563

  • เดือนมีนาคม 2563  มีการอนุญาตให้คนต่างชาติประกอบธุรกิจ ทั้งสิ้น 67 ราย แบ่งเป็นใบอนุญาตประกอบธุรกิจ 21 ราย และหนังสือรับรองประกอบธุรกิจ 46 ราย โดยมีเม็ดเงินลงทุนทั้งสิ้น 7,988 ล้านบาท ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ 2563 จำนวนธุรกิจ ที่คนต่างชาติเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 14 (เพิ่มขึ้น 8 ราย)
  • นักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยมากที่สุด ได้แก่ ญี่ปุ่น จำนวน 18 ราย เงินลงทุน 3,186 ล้านบาท รองลงมา ได้แก่ สิงคโปร์ จำนวน 11 ราย เงินลงทุน 1,116 ล้านบาท และเนเธอร์แลนด์ 6 ราย เงินลงทุน 757 ล้านบาท

ไตรมาส 1/2563

เดือนมกราคม – มีนาคม 2563 คนต่างด้าวได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจ จำนวน 180 ราย มีเงินลงทุนทั้งสิ้น 29,026  ล้านบาท


การให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเดือนมีนาคม 2563

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลดิจิทัล และ พ.ร.บ. การอำนวยความสะดวก เพื่อลดต้นทุน ลดเวลา และลดการใช้กระดาษ โดยพัฒนางานบริการทุกกระบวนการของกรมผ่านทาง อิเล็กทรอนิกส์ให้ผู้ใช้บริการยื่นขอรับบริการได้ทุกที่ ทุกเวลาได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว

DBD e – Filing การนำส่งงบการเงินผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ 

การนำส่งงบการเงินของนิติบุคคล ที่มีรอบปีบัญชีสิ้นสุดปี 2562 ณ วันที่ 31 มีนาคม 2563 มีนิติบุคคลนำส่งงบการเงินแล้ว จำนวน 75,999 ราย คิดเป็นร้อยละ 11 ของนิติบุคคลที่ต้องนำส่งงบการเงิน โดยนำส่งผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ (DBD e-Filing) จำนวน 69,139 ราย คิดเป็นร้อยละ 91 และนำส่งในรูปแบบกระดาษ จำนวน 6,860 ราย คิดเป็น 9%  ทั้งนี้การนำส่งงบการเงิน และบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น สามารถนำส่งได้ทุกที่ทุกเวลา และสามารถตรวจสอบข้อมูลงบการเงินผ่าน DBD Data Warehouse และ DBD e-Service ผ่าน Application ได้อย่างรวดเร็ว

จากสถานการณ์การแพร่ระบาด ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิค 19 เพื่อให้การนำส่งงบการเงิน และบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นของนิติบุคคล เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ กรมฯ ได้มีมาตรการแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาด ดังนี้

ให้บริษัทจำกัด บริษัทมหาชนจำกัด สมาคมการค้า และหอการค้า รายใดที่ได้รับผลกระทบ จากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 จนทำให้เกิดเหตุขัดข้อง ไม่สามารถจัดประชุมหรือจัดประชุมล่าช้า เกินกว่าระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด และเมื่อได้ดำเนินการจัดประชุมแล้ว ให้มีหนังสือชี้แจงเหตุผลยื่นต่อนายทะเบียนเป็นรายกรณีไป

e-Certificate บริการระบบหนังสือรับรอง และรับรองสำเนาเอกสารนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านธนาคาร

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้ดำเนินการพัฒนาต่อยอด ระบบการให้บริการหนังสือรับรอง และรับรองสำเนาเอกสารนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านธนาคาร (e-Certificate) ซึ่งเปิดให้บริการตั้งแต่ปี 2555 และผ่านการรับรองระบบพิมพ์ออกฯ จากสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.)

จึงเป็นนวัตกรรมที่สามารถบริการประชาชนได้อย่างทั่วถึง สะดวก รวดเร็วและมีความน่าเชื่อถือ และเป็นไปตามกฎหมายที่กำหนดทำให้ภาคธุรกิจและประชาชนผู้สนใจสามารถติดต่อขอรับบริการ ณ สาขาธนาคารใกล้บ้านที่เข้าร่วมโครงการได้รวมทั้งสิ้น 10 ธนาคาร จำนวน 3,837 สาขา

การบริการหนังสือรับรองข้อมูลนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์และผลักดันการใช้ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์  

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้ยกระดับการเป็นหน่วยงานรัฐบาลดิจิทัล โดยการใช้ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Digital Signature) มาให้บริการ ซึ่งการบริการ e-Service เป็นการบริการขอหนังสือรับรองผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยขอรับข้อมูลได้ผ่านช่องทาง Walk in EMS Delivery และการออกหนังสือรับรองรูปแบบไฟล์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Certificate File)

ซึ่งการบริการในรูปแบบไฟล์อิเล็กทรอนิกส์ มีจำนวนการใช้บริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนมีนาคม 2563 มีจำนวน 19,741 ราย และทั้งปี 2563 (ม.ค.-มี.ค.) มีจำนวน 56,804 ราย และรองรับการให้บริการ สู่การบริการหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของชาวต่างชาติและสมาคมการค้า หนังสือรับรองภาษาอังกฤษ

ทั้งนี้ การขอรับบริการทางอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากผ่านทาง เว็บไซต์  แล้ว สามารถขอรับบริการผ่านทาง Application DBD e-Service ได้ทั้งระบบ Android และ IOS

การให้บริการขอหนังสือรับรอง และรับรองสำเนาเอกสารนิติบุคคล ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (ส่วนกลาง) และสำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้า เขต 1-6 ให้ขอรับบริการได้เฉพาะทางอิเล็กทรอนิกส์ (DBD e-Service) ผ่าน เว็บไซต์กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เท่านั้น ตั้งแต่วันที่ 20 เมษายน 2563

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ร่วมมือกับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารออมสิน ปรับลดอัตราค่าบริการหนังสือรับรอง รับรองสำเนาเอกสารนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านธนาคาร (e-Certificate) 

จากอัตราเดิม หนังสือรับรองนิติบุคคล ฉบับละ 150 บาท เป็น ฉบับละ 100 บาท รับรองสำเนาเอกสารทะเบียนงบการเงิน/บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น จาก 1-5 หน้าแรก 100 บาท หน้าถัดไปหน้าละ 20 บาท เป็น หน้าละ 20 บาท โดยไม่กำหนดอัตราเริ่มต้น

โดยธนาคารกรุงไทย ปรับลดเป็นระยะเวลา 8 เดือน ตั้งแต่บัดนี้ถึง 31 สิงหาคม 2563 มีสาขาที่พร้อมให้บริการทั้งสิ้น 1,132 สาขาทั่วประเทศ และธนาคารออมสิน ปรับลดเป็นระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่บัดนี้ถึง 30 มิถุนายน 2563 กว่า 1,070 สาขาทั่วประเทศ

e-Secured จดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจแบบอิเล็กทรอนิกส์    

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้เปิดให้บริการจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจแบบอิเล็กทรอนิกส์อย่างครบวงจร ผ่าน Web Application และ Web Service แบบ Host to Host และชำระค่าธรรมเนียมผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) และออกใบเสร็จรับเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Receipt) 

โดยเจ้าพนักงานทะเบียนลงลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Digital Signature) รวมถึงสามารถตรวจค้นข้อมูลหลักประกันทางธุรกิจเบื้องต้นผ่าน เว็บไซต์ หรือผ่านระบบ mobile application (IOS และ Android) บนสมาร์ทโฟน 

โดยตั้งแต่ 4 กรกฎาคม 2559 จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2563 มีการจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจ จำนวน 510,253 คำขอ มูลค่าทรัพย์สิน ที่นำมาเป็นหลักประกัน จำนวน 7,998,457 ล้านบาท โดยมีการนำทรัพย์สินที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ และใช้ประกอบธุรกิจ มาเป็นหลักประกันทางธุรกิจได้โดยไม่ต้องส่งมอบทรัพย์สิน

สำหรับเดือนมีนาคม 2563 มีการจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจ จำนวน 13,995 คำขอ มูลค่าทรัพย์สินที่นำมาเป็นหลักประกัน จำนวน 188,731 ล้านบาท

ทั้งนี้ทรัพย์สินที่นำมาเป็นหลักประกันทางธุรกิจ มากที่สุด ได้แก่ สิทธิเรียกร้อง เช่น บัญชีเงินฝาก ลูกหนี้การค้า สิทธิการเช่า คิดเป็นร้อยละ 89.91 (มูลค่า 169,691 ล้านบาท) รองลงมาคือ สังหาริมทรัพย์ที่ใช้ในการประกอบธุรกิจ เช่น เครื่องจักร สินค้าคงคลัง คิดเป็นร้อยละ 10.08 (มูลค่า 19,023 ล้านบาท) กิจการ มีการจดทะเบียน คิดเป็นร้อยละ 0.01 (มูลค่า 16 ล้านบาท) และ ไม้ยืนต้น เป็นประเภทไม้ยางพารา คิดเป็นร้อยละ 0.0002 (มูลค่า 471,800 บาท) และมีผู้รับหลักประกัน รวมจำนวนทั้งสิ้น 236 ราย

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ร่วมกับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ลงพื้นที่ศูนย์การเรียนรู้เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบ บ้านดอนศาลเจ้า อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี เพื่อส่งเสริมและขับเคลื่อนการใช้ไม้ยืนต้นเป็นหลักประกันทางธุรกิจ และให้ข้อเสนอแนะการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ในชุมชน ช่องทางการตลาดแก่เกษตรกรและประชาชนในพื้นที่ เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2563

e-Registration การจดทะเบียนนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์

การจดทะเบียนนิติบุคคลทางอิเล็กทรอนิกส์ตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2560 – 31 มีนาคม 2563 มีการยืนยันการใช้งาน (Activate) จำนวน 56,203 ราย รับจดทะเบียน 24,438 ราย

ซึ่งกรมได้มีการเตรียมการพัฒนาระบบให้อำนวยความสะดวกเพิ่มขึ้น  ทั้งด้านการยืนยันตัวตนนิติบุคคลและการใช้ระบบงาน รวมถึงการเชื่อมโยง เพื่อสร้างความพร้อมในการดำเนินธุรกิจให้แก่ SME ทั้งด้านการเงินและซอฟแวร์ รวมทั้งการให้บริการสำเนาเอกสารทะเบียนนิติบุคคล รูปแบบไฟล์อิเล็กทรอนิกส์ของนิติบุคคล ที่จดทะเบียนผ่านระบบ e-Registration

DBD Connect เชื่อมระบบบัญชีสู่การยื่นงบการเงินออนไลน์(DBD e-Filing)

กรมฯ ร่วมกับผู้ผลิตซอฟแวร์บัญชีชั้นนำของประเทศ จำนวน 16 ราย (20 โปรแกรม) พัฒนาการเชื่อมโยงซอฟต์แวร์บัญชี กับระบบการนำส่งงบการเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (DBD e-Filing) แบบอัตโนมัติผ่านระบบ DBD Connect อำนวยความสะดวกการจัดทำบัญชี และงบการเงินสำหรับนักบัญชี ให้สามารถนำส่งงบการเงินในรูปแบบ XBRL ที่เชื่อมโยงข้อมูลทางบัญชีพร้อมนำส่งงบการเงินผ่าน DBD e-Filing ได้โดยตรง และไม่ต้องคีย์ข้อมูลงบการเงินซ้ำ

การบริหารจัดการธุรกิจแบบครบวงจร (Total Solution for SMEs)  และ e-Accounting for SMEs

Total Solution for SMEs เป็นการขับเคลื่อน SMEs ด้วยนวัตกรรม โดยส่งเสริมให้ธุรกิจเข้าถึงเทคโนโลยีในการบริหารจัดการธุรกิจที่ครบวงจรได้โดยง่าย เปลี่ยน Traditional SMEs เป็น Smart SMEs 

ซึ่งกรมได้รวบรวมโปรแกรมด้านการบริหารจัดการทั้ง 3 ภาคส่วนไว้ด้วยกันคือ โปรแกรมสำนักงาน (Office)  โปรแกรมหน้าร้าน (POS) โปรแกรมบัญชี online (Cloud Accounting)  ปัจจุบันมีซอฟต์แวร์ที่เข้าร่วมโครงการรวมทั้งสิ้น 25 โปรแกรม  

นอกจากนี้ กรมฯ ยังได้แจกฟรี “โปรแกรม e-Accounting for SMEs” ซึ่งเป็นโปรแกรมหน้าร้าน (POS) ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกในการค้าขาย เช่น  มี Scanner เพื่อซื้อขายสินค้าในตัว , มีฐานข้อมูลของสินค้ามากกว่า 10,000 รายการ เป็นต้น

โดยร้านค้าสามารถสมัครขอใช้งานโปรแกรม e-Accounting for SMEs ได้ผ่านทางโครงการ Total Solution for SMEs หรือดาวน์โหลดได้ที่ Google Play Store ในระบบ Android

DBD Data Warehouse                                                 

กรมได้พัฒนาระบบสารสนเทศ ให้มีความสมบูรณ์หลากหลาย และสามารถจัดทำผลวิเคราะห์ เพื่อเผยแพร่ข้อมูลธุรกิจ ประกอบด้วยข้อมูลนิติบุคคล  ข้อมูลและวิเคราะห์งบการเงิน ข้อมูลซัพพลายเออร์ลูกค้า คู่ค้าทางธุรกิจ ข้อมูลโอกาสทางธุรกิจ ข้อมูลการลงทุนจากต่างชาติในนิติบุคคลไทย รวมทั้งข้อมูลสถิติการจดทะเบียนนิติบุคคล

ซึ่งจะเป็นการเพิ่มโอกาสให้ SMEs สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูล พร้อมทั้งนำข้อมูลธุรกิจ ไปสนับสนุนการตัดสินใจในการประกอบธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว โดยในปี 2563 (ม.ค.-มี.ค.) มีจำนวนผู้ใช้บริการทั้งสิ้นจำนวน 1,945,104 ครั้ง