Onlinenewstime.com : เจาะปัจจัยความสำเร็จของไฮเออร์ (ประเทศไทย) บุกตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในไทย 2 ทศวรรษ สร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดดอย่างต่อเนื่องผ่านการนำทัพโดย นายจาง เจิ้งฮุ้ย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไฮเออร์ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
พร้อมเผยวิสัยทัศน์การก้าวสู่ปีที่ 21 และแผนงานการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ตลอดปี 2565 พร้อมเทงบ 850 ล้านบาท ทำตลาด หนุนโมเดล “อยู่ดี” เปิดทางผ่อนเครื่องใช้ไฟฟ้า 0% รองรับการใช้จ่ายของผู้บริโภค
นายจาง เจิ้งฮุ้ย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไฮเออร์ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เผยว่า “ปี 2565 เป็นปีที่ไฮเออร์ ดำเนินธุรกิจในไทยครบรอบ 20 ปี
เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองการเติบโตอย่างก้าวกระโดด บริษัทจึงเตรียมจัดแคมเปญใหญ่แห่งปี “Haier Thailand 20thAnniversary, Greetings From The Smart Future” ชวนผู้บริโภค คู่ค้าพันธมิตรร่วมสัมผัสอนาคตสุดแสนชาญฉลาด กับเครื่องใช้ไฟฟ้าเทคโนโลยีล่าสุดจากไฮเออร์
“เพื่อก้าวสู่ทศวรรษใหม่ ในปีที่ 21 ของการทำตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าไฮเออร์ในประเทศไทย บริษัทยังคงขับเคลื่อนธุรกิจสอดคล้องกับนโยบายของบริษัทแม่ ด้วยการยึดมั่นหลักการพัฒนาเรื่อง “การให้ความสำคัญกับคุณค่าของมนุษย์” หรือที่ไฮเออร์เรียกว่า “RenDanHeyi (เหรินตันเหออี้)” เป็นปัจจัยหลักในการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน
รวมถึงการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ จาก Pain Point ของผู้บริโภค เสริมแกร่งด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยี เพื่อตอบสนองทุกความต้องการของผู้บริโภค ตลอดจนการทำตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อดึงแนวคิดความเป็นสากลมาหลอมรวมเพื่อพัฒนาองค์กร ทั้งอุตสาหกรรมเชิงพาณิชย์ วัฒนธรรม และสังคม
ส่งผลทำให้พนักงาน มีศักยภาพในการพัฒนาบริษัท สามารถพลิกเกมธุรกิจจนกลายเป็นแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้ไฮเออร์ (ประเทศไทย) ประสบความสำเร็จในการทำตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในไทยอย่างก้าวกระโดด พร้อมมุ่งสู่การเป็นแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าอันดับ 1 ในประเทศไทย
“สำหรับ 20 ปีที่ผ่านมา ไฮเออร์ ได้เข้ามาลงทุนสร้างฐานผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าในประเทศไทย เกิดการจ้างงานและกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ เช่น ปี 2551 สร้างโรงงานตู้แช่ และ ปี 2552 ได้ขยายโรงงานเครื่องปรับอากาศ
รวมทั้งได้นำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ในผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่นปี 2562 มีการคิดค้นและเปิดตัวเทคโนโลยี Navi Cooling ในผลิตภัณฑ์ตู้เย็น และ ฟังก์ชัน Self-Cleaning ในผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศ
ต่อจากนั้นในปี 2563 ได้มีการใช้กลยุทธ์ Ecosystem Brand เพื่อขยายฐานลูกค้า และผลิตภัณฑ์ Smart Home เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในยุคดิจิทัลรวมทั้งกลยุทธ์ Dual Brand ที่มีการเปิดตัวแบรนด์น้องใหม่ “Candy (แคนดี้)”
ในปี 2564 มีการทำการตลาดและเพิ่มผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทั้งเจนเนอเรชั่นวาย (Y) และซี (Z) เป็นต้น”
นายจาง เจิ้งฮุ้ย ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “ปีนี้ไฮเออร์ (ประเทศไทย) มุ่งผลักดันยอดขายสู่ 1 หมื่นล้านบาท
โดยทิศทางธุรกิจใน 1-3 ปีข้างหน้า บริษัทยังคงมุ่งเน้น Ecosystem Brand Strategy ที่ทำให้ผู้บริโภคสะดวกสะบายมากยิ่งขึ้น และช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงผลิตภัณฑ์ และบริการของไฮเออร์ได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส เช่น ซื้อสินค้าผ่านแอปพลิเคชัน ติดตั้งสินค้าฟรี ชำระเงินสั่งงานและควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าได้อย่างง่ายดาย ด้วยสมาร์ทโฟนผ่านแอปพลิเคชัน “อยู่ดี (Yudee)” เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนในยุคปัจจุบัน รวมถึงการพัฒนานวัตกรรม ให้เหมาะสมตามความต้องการของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง”
ด้าน นายธเนศร์ บินอาซัน รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไฮเออร์ อีเลคทริคอล แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ไฮเออร์ได้ทุ่มงบกว่า 30 ล้านบาทจัดกิจกรรมมากมายเพื่อฉลองครบรอบ 20 ปี ที่ดำเนินธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าในประเทศไทย ทั้งงานฉลองครบรอบ 20 ปีที่จัดขึ้นนี้ Exclusive Dinner รวมทั้งกิจกรรม TikTok Hashtag Challenge ที่จะจัดขึ้นในเดือนเมษายนนี้
เพื่อให้ผู้บริโภคได้ร่วมสนุก พร้อมลุ้นรับของรางวัลมากมายจากไฮเออร์ และการจัดโปรโมชั่นแคมเปญหน้าร้านค้าทั่วประเทศกว่า 300 ร้านค้า เพื่อเป็นการขอบคุณคู่ค้าและลูกค้าที่ให้การสนับสนุนมาตลอด 20 ปี
“จากปัจจัยรอบด้านที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรม ความต้องการของผู้บริโภค เทคโนโลยีใหม่ที่มีอิทธิพลต่อการผลิตสินค้า ตลอดจนการแข่งขันในตลาดที่รุนแรง การก้าวเข้าสู่ปีที่ 21 ของ
ไฮเออร์ จึงเป็นก้าวแห่งความท้าทาย
โดยในปี 2565 นี้ ไฮเออร์จะสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภค และพันธมิตรคู่ค้า ผ่านการจัดกิจกรรมโร้ดโชว์เพื่อส่งเสริมการขายไปยังร้านค้าต่าง ๆ ทั่วประเทศ รวมถึงการปรับปรุงหน้าร้านค้าให้มีภาพลักษณ์สวยงาม ชูความเป็นนวัตกรรม และการจัดงาน “Dealer Conference” ในช่วงปลายปี ให้ลูกค้าสัมผัสประสบการณ์กับเครื่องใช้ไฟฟ้าไฮเออร์ ปูทางสู่การสร้างยอดขายให้เติบโต
“อีกหนึ่งไฮไลต์คือในไตรมาสที่ 3 นี้บริษัทจะเปิด Haier Flagship Store ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ซึ่งมีพื้นที่กว่า 344 ตารางเมตรเพื่อให้ผู้บริโภคได้สัมผัสประสบการณ์จริงจากผลิตภัณฑ์และบริการของเครื่องใช้ไฟฟ้าไฮเออร์
“ส่วนกลยุทธ์การทำตลาด จะมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง ได้แก่ เครื่องปรับอากาศไฮเออร์ 4 รุ่น ชูเทคโนโลยีใหม่ UVC Sterilization แสงอัลตราไวโอเลตที่สามารถทำลายสารพันธุกรรม (DNA หรือ RNA) ของไวรัสและแบคทีเรียได้ ช่วยยับยั้งไวรัสได้ถึง 99.99%
ตู้เย็นไฮเออร์ใหม่กว่า 25 รุ่น ทั้งรุ่นมัลติดอร์ และรุ่น 2 ประตู เครื่องซักผ้าไฮเออร์ เพิ่มสินค้ารุ่นฝาหน้า 4 รุ่น และสินค้ารุ่นฝาบน 3 รุ่นที่มาพร้อมเทคโนโลยี Self-Cleaning และเทคโนโลยีอื่นๆ เช่น i-Refresh, Hygienic program, ABT & Dual Spray
ตู้แช่ไฮเออร์ เพิ่มไลน์ตู้แช่ไวน์ขนาดเล็ก และกลุ่มไฮเอนด์ ทีวีไฮเออร์ จะเปิดตัวรุ่น OLED และ HQLED 4K TV ที่จอแสดงภาพได้เสมือนจริง โดยเสริมทัพผลิตภัณฑ์ใหม่กว่า 17 รุ่น
เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก มีสินค้าใหม่ 34 รุ่น เช่น เครื่องชงกาแฟ และ เครื่องดูดควัน
เครื่องทำน้ำอุ่นไฮเออร์ มุ่งนำเสนอสินค้าดีไซน์ทันสมัย ปลอดภัย พร้อมระบบสัมผัสให้ใช้งานได้ง่ายยิ่งขึ้น และเครื่องครัวไฮเออร์ จะเพิ่มสินค้ารุ่นแบล็คซีรี่ส์ (Black Series) ที่ดีไซน์ทันสมัยสีดำ พร้อมเอาใจลูกค้าที่ไม่ต้องการให้ครัวดูเลอะสกปรก
“พร้อมกันนี้ บริษัททุ่มงบการตลาดกว่า 850 ล้านบาทเพื่อทำกิจกรรมการตลาดครบวงจร 360 องศา ทั้งโฆษณาโทรทัศน์ วิทยุ สื่อนอกบ้าน (OOH) และสื่อออนไลน์
โดยดึง KOLs (Key Opinion Leaders) ที่มีชื่อเสียงและมีอิทธิพลบนโลกออนไลน์ มาเป็นกระบอกเสียงให้แบรนด์
และที่ขาดไม่ได้นั่นคือกลยุทธ์แบรนด์แอมบาสเดอร์ ที่มีการดึง “บอย” ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ไฮเออร์ (ประเทศไทย) อย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 เพื่อช่วยสร้างการรับรู้แบรนด์แก่ผู้บริโภคต่อเนื่อง ซึ่งสามารถเป็นตัวแทนแบรนด์ที่ represent ความเป็นไฮเออร์ ในแง่ของผลิตภัณฑ์ ที่สามารถหาซื้อได้ง่ายราคาที่เหมาะสม และมีนวัตกรรมในระดับดีเยี่ยม ที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทุกกลุ่มได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม ปี 2565 ไฮเออร์ตั้งเป้ายอดขาย 1 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ดังนี้
- เครื่องปรับอากาศไฮเออร์ คาดการณ์เป้าหมายยอดขายรวม 4,337 ล้านบาท (คาดเติบโต 39%) โดยแบ่งเป็น เครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์ไฮเออร์ 450 ล้านบาท (คาดเติบโต 50%)
- ตู้เย็นไฮเออร์ คาดการณ์เป้าหมายยอดขาย 2,040 ล้านบาท (คาดเติบโต 22%)
- เครื่องซักผ้าไฮเออร์ คาดการณ์เป้าหมายยอดขาย 1,514 ล้านบาท (คาดเติบโต 30%)
- ตู้แช่ไฮเออร์ คาดการณ์เป้าหมายยอดขาย 972 ล้านบาท (คาดเติบโต 23%)
- ทีวีไฮเออร์ คาดการณ์เป้าหมายยอดขาย 673 ล้านบาท (คาดเติบโต 64%)
- เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็กไฮเออร์ คาดการณ์เป้าหมายยอดขาย 233 ล้านบาท (คาดเติบโต 31%)
- เครื่องทำน้ำอุ่นไฮเออร์ คาดการณ์เป้าหมายยอดขาย 298 ล้านบาท (คาดเติบโต 75%)
- เครื่องครัวไฮเออร์ คาดการณ์เป้าหมายยอดขาย 66.9 ล้านบาท (คาดเติบโต 102%)
“สำหรับ แบรนด์ “Candy (แคนดี้)” จะออกสินค้าโมเดลใหม่ๆ เข้าทำตลาดมากขึ้น เพิ่มทางเลือกให้แก่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ นักศึกษา วัยทำงาน เจนวายและเจนซี
โดยสินค้าไฮไลต์ ได้แก่ ตู้แช่ และ เครื่องทำน้ำอุ่น ซึ่งจะบุกหนักช่องทางขายทั้งออนไลน์ และร้านค้าขายปลีก เพื่อกระตุ้นยอดขายให้เติบโต 24% หรือมูลค่า 600 ล้านบาท”
ด้าน นายวรลักษณ์ นพวงศ์ ณ อยุธยา ผู้จัดการกลุ่มธุรกิจอยู่ดี บริษัท ไฮเออร์ อีเลคทริคอล
แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ไฮเออร์ได้ปั้นโมเดลธุรกิจ “Yudee Live Life Smarter” หรือ “อยู่ดีมีสไตล์ อยู่สบายแบบสมาร์ท” ซึ่งเป็นโครงการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าเงินผ่อน 0%
ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่ไม่ต้องการใช้เงินก้อนใหญ่ แต่สามารถซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าได้หลากหลายหมวด เช่น เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า ตู้แช่ และทีวีในราคาที่จับต้องได้โดยทุกผลิตภัณฑ์เป็นผลิตภัณฑ์ IoT ทั้งสิ้น
โดยผู้บริโภคสามารถสั่งงานควบคุมชำระค่างวดผ่านแอปพลิเคชัน Yudee ได้อย่างง่ายดายรวดเร็ว และมีการรับประกันต่อเนื่องสูงสุด 12 ปี โดยมีดีลเลอร์เข้าร่วมโครงการแล้ว 80 ราย และจะขยายเพิ่มให้ได้ 200 รายทั่วประเทศโดยมีกิจกรรมการตลาดและประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง ทั้งกิจกรรมออฟไลน์ และกิจกรรมออนไลน์
“จากวิกฤตโควิด-19 ที่ระบาดยาวนาน ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค บริษัทจึงสร้างสรรค์โมเดลธุรกิจอยู่ดี เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกค้าทั้งภาคธุรกิจต่างๆ เช่น โรงแรม หอพัก อพาร์ตเมนต์ อาคารสำนักงาน ร้านอาหาร ร้านค้าต่าง ๆ ที่มีความต้องการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าสามารถผ่อน 0% แม้ลูกค้าไม่มีบัตรเครดิตก็ซื้อได้ อาชีพไหนก็ซื้อได้ การอนุมัติเร็ว ฟรีค่าแรกเข้า และฟรีค่าติดตั้งด้วย
“สำหรับเป้าหมายยอดของธุรกิจอยู่ดีวางไว้ตั้งแต่ 2565 – 2567 โดยปี 2565 คาดว่าจะมีผู้ใช้แอปพลิเคชันแตะ 58,000 ราย สร้างรายได้ 338 ล้านบาท เติบโต 338 % จากปีก่อน
ปี 2566 ผู้ใช้งาน 120,000 ราย รายได้แตะ 700 ล้านบาท และปี 2567 ผู้ใช้งาน 200,000 ราย รายได้แตะ 1,200 ล้านบาท”