
Onlinenewstime.com : BIZCUIT ผู้นำในการให้บริการโซลูชั่นเทคโนโลยี AI ด้วยการเป็น AI Enabler สร้างการทรานฟอร์มประสบการณ์ของผู้บริโภค และเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการดำเนินธุรกิจ เผย 5 เทรนด์เทคโนโลยี AI ด้าน Machine Learning รองรับตลาดโลกมูลค่า 1.48 ล้านล้านบาท
ชี้ทั้งเอกชนและภาครัฐสามารถใช้ AI สร้างโอกาสที่ตอบโจทย์เป้าหมายองค์กรได้ด้วย “ความเข้าใจภาษาธรรมชาติ” หรือ “NLU” และ “เทคโนโลยีวิทัศน์” หรือ “Computer Vision” เพื่อขับเคลื่อนสู่การสร้างสรรค์ผลลัพธ์ใหม่ที่มนุษย์ไม่สามารถทำได้
ยกระดับกระบวนการทำงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ด้วยการวิเคราะห์ประมวลผลจากเทคโนโลยี AI สร้างการเปลี่ยนแปลงตอบรับกระแสดิจิทัลทรานฟอร์เมชั่น
หลังปี 2564 ประสบความสำเร็จด้วยคู่สัญญารวมมูลค่ากว่า 150 ล้านบาท สวนทางเศรษฐกิจ พร้อมได้รับการร่วมทุนจาก “กลุ่มบุญรอดซัพพลายเชน” ตั้งเป้าเติบโตกว่าเท่าตัว ในปี 2565
นายสุทธิพันธุ์ สุทัศน์ ณ อยุธยา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิสกิต โซลูชั่น จำกัด หรือ BIZCUIT เปิดเผยว่า “เทคโนโลยี AI ด้าน Machine learning เป็นที่จับตามองไม่เฉพาะแค่ภาคธุรกิจ แต่เรียกว่าเป็นนวัตกรรมที่จะสามารถขับเคลื่อนในทุกหน่วยของโครงสร้างพื้นฐาน
เนื่องจาก Machine learning สามารถเรียนรู้ และทำความเข้าใจในสิ่งที่มนุษย์ถ่ายทอด จนเสมือนเป็นมนุษย์ สามารถต่อยอดด้วยเครื่องมือที่หลากหลาย จนทำในสิ่งที่มนุษย์ทำไม่ได้
โดยกระแสความนิยมสะท้อนจากมูลค่าของธุรกิจ AI ในตลาดโลก ที่มีมูลค่าถึง 74,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ ประมาณ 2.48 ล้านล้านบาท ในปี 2564 ที่ผ่านมา
โดย 60% ของตลาด เป็น Application หรือ โซลูชั่นที่มีการใช้ Machine Learning AI คิดเป็นมูลค่า 1.48 ล้านล้านบาท ส่งผลให้เกิดเทรนด์เทคโนโลยี AI ด้าน Machine Learning ที่นำไปประยุกต์ใช้เพื่อสร้างประสิทธิภาพและขยายขีดความสามารถให้กับธุรกิจและองค์กรของภาครัฐ
นายสุทธิพันธุ์ ได้แสดงทัศนะเกี่ยวกับเทรนด์ของเทคโนโลยี AI ด้าน Machine Learning ของโลกที่เน้นพัฒนาให้ AI ทำในสิ่งที่มนุษย์ทำไม่ได้ ซึ่งโดยแบ่งออกเป็น 5 เทรนด์ คือ
เทรนด์ที่ 1: Voice is the new hand เสียงจะเป็นเหมือนแขนที่สามของมนุษย์ที่จะคอยสั่งการสิ่งต่างๆแบบไร้การสัมผัส
ข้อมูลเสียง จะทำให้เราสั่งงานระบบต่างๆ พร้อมยืนยันตัวตน และแจ้งตำแหน่งของเราด้วยการพูดเพียงอย่างเดียว ทำให้ก่อเกิดการใช้งานใหม่ๆมากมาย
เทรนด์ที่ 2: Computer Generated Content
การสร้างคอนเทนต์หรือเนื้อหาด้วย AI ที่เกิดจากเทคโนโลยี Natural Language Generation หรือ NLG ซึ่งเป็นอีก 1 สาขาของ Machine Learning AI โดยปัจจุบันสามารถสอนให้ AI คิดเนื้อหาขึ้นมาเอง เพื่อตอบโต้ความต้องการของมนุษย์แบบอัตโนมัติ หรือสร้างความบันเทิงให้กับมนุษย์
เทรนด์ที่ 3: Natural Language Understanding จะถูกใช้ร่วมกับ IoT ทำให้เกิดประสบการณ์ใหม่ๆ
ในอนาคต AI จะสามารถเข้าใจสิ่งที่มนุษย์ต้องการ ไม่ใช่แค่เข้าใจคำสั่ง แต่เข้าใจความต้องการของเรา ประสบการณ์ที่เราจะได้จาก IoT จะยิ่งทวีคูณ เช่น เมื่อพูดว่าน้ำส้มหมด ตู้เย็นสามารถวิเคราะห์ได้ว่าต้องการซื้อน้ำส้ม และจะสืบค้นร้านค้าออนไลน์ เปรียบเทียบราคาและเสนอตัวเลือกที่ดีที่สุดให้ เป็นต้น
เทรนด์ที่ 4: Computer Vision
การวิเคราะห์ภาพเรียลไทม์จะถูกใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้น โดยสามารถเพิ่มขีดความสามารถของกล้อง CCTV ที่มีอยู่แล้ว ให้มีความสามารถเป็น AI Vision Analytic ตรวจจับวิเคราะห์ภาพเพื่อวัตถุประสงค์ต่าง ๆ
เทรนด์ที่ 5: ระบบการประมวลผลแบบใหม่เช่น Quantum Computer กำลังจะยกขีดความสามารถของ AI ไปแบบก้าวกระโดด
เนื่องจากศักยภาพในการประมวลผลของ AI ขึ้นอยู่กับความสามารถของฮาร์ดแวร์ และQuantum Computer คืออนาคตที่ทรงพลังของ AI
ปัจจุบันทั้งภาครัฐหรือภาคเอกชน มีการนำ Machine Learning AI มาใช้งานแล้ว โดยเป็นการใช้เพื่อช่วยสร้างประสิทธิภาพและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
รวมถึงสร้างโอกาสสำหรับภาคธุรกิจ อาทิ Machine Learning Computer Vision สามารถแยกพนักงานกับลูกค้า ซึ่งสามารถใช้ในการควบคุมการบริหารจัดการ ของร้านค้า วิเคราะห์การทำงานของพนักงาน
ในหน่วยงานภาครัฐก็ได้นำไปใช้ในการพัฒนา Smart City หรือใช้ในการตรวจจับภัยธรรมชาติต่าง ๆ ซึ่งช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในประเทศ
“ในปี2564 ที่ผ่านมา BIZCUIT นับว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่ง โดยกลุ่มบุญรอดซัพพลายเชน ได้มาร่วมลงทุนกับเราเพื่อนำเทคโนโลยี AI ไปต่อยอดให้กับกลุ่มลูกค้าและบริษัทในเครือ
นอกจากนี้ ยังมีลูกค้าคู่สัญญารายใหม่เกิดขึ้นมากมาย โดยคิดมูลค่ารวมกว่า 150 ล้านบาท ปัจจุบัน BIZCUIT มีลูกค้ามากกว่า 60 องค์กร แบ่งสัดส่วนเป็นลูกค้าในประเทศ 80 % และลูกค้าในต่างประเทศ 20%
ครอบคลุมในหลากหลายอุตสาหกรรม อาทิ กลุ่มธุรกิจรีเทลค้าปลีก กลุ่มธุรกิจอาหาร กลุ่มอีคอมเมิร์ซ กลุ่มภาคการผลิต กลุ่มการเงินและประกันภัย หรือ กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยให้บริการโซลูชั่นของ BIZCUIT อยู่ใน 5 ประเทศในภูมิภาค ได้แก่ ประเทศไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และ ฟิลิปปินส์
ซึ่งความสามารถของ AI ด้านภาษาของ BIZCUIT นั้นครอบคลุมไปถึงภาษาอังกฤษและภาษาท้องถิ่นของแต่ละประเทศรวม 3 ภาษา คือภาษาไทย อังกฤษ และบาฮาซาอินโดนีเซียอีกด้วย” นายสุทธิพันธุ์กล่าว
ในปี 2565 นี้ BIZCUIT ตั้งเป้าธุรกิจเติบโตมากกว่าเท่าตัว หรือกว่า 100% ด้วยการเน้นนำเสนอผลิตภัณฑ์ผ่านผู้จัดจำหน่ายและพันธมิตร เพื่อขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ควบคู่ไปกับการพัฒนาเทคโนโลยี AI โซลูชั่นให้เกิดความสามารถใหม่ ๆ รองรับในทุกสาขาของ AI Machine Learning อาทิ ด้าน NLU กำลังพัฒนา ภาษาตากาล็อกของฟิลิปปินส์เป็นภาษาที่ 4 ด้าน Computer vision จะพัฒนาเพิ่มความสามารถของ AI ในการเข้าใจภาพการปฏิบัติงานในโรงงานและในเรื่องการจราจรให้มากขึ้น เพื่อรองรับความต้องการด้าน Smart City จากหน่วยงานภาครัฐ
ปัจจุบัน BIZCUIT มีผลิตภัณฑ์เรือธงให้บริการลูกค้าองค์กร คือ FullLoop CX ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มพัฒนาประสบการณ์ลูกค้าครบวงจร โดย Machine Learning และการประมวลผลภาษาธรรมชาติ หรือ Natural Language Processing (NLP)
เพื่อประสบการณ์ลูกค้าที่ดีที่สุดตลอดเส้นทางโดยจุดเด่นสำคัญคือความสามารถในการสร้างระบบการทำงาน หรือ workflow ขึ้นในตัวเองได้แบบอัตโนมัติและBIZCUIT Vision Analytics กล้องปัญญาประดิษฐ์พร้อมวิทยาการวิเคราะห์ภาพแบบเรียลไทม์ด้วยเทคโนโลยี Computer Vision แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เพื่อศักยภาพของธุรกิจสูงสุด โดยจุดเด่นคือความหลากหลายและยืดหยุ่นในการกำหนดเงื่อนไขการวิเคราะห์