Onlinenewstime.com : อีโคคาร์ครองแชมป์ยอดขายมาแรงเป็นอันดับหนึ่ง แบรนด์ญี่ปุ่นอย่างโตโยต้า (Toyota) ฮอนด้า (Honda) และนิสสัน (Nissan) ยังครองตำแหน่งสามอันดับแบรนด์ได้รับความนิยมสูงสุด ตอกย้ำการดำเนินงานของบริษัทฯ ที่มุ่งใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) เพื่อพัฒนากระบวนการทำงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบการรับซื้อรถยนต์มือสองที่ทำให้สามารถค้นหารถยนต์มือสองที่ตรงใจ และตอบโจทย์ลูกค้ามากที่สุด
คาร์โร (Carro) ผู้นำด้านการซื้อ-ขายรถยนต์มือสองบนแพลตฟอร์มออนไลน์ “ยูนิคอร์น” รายแรกของตลาดยานยนต์แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดเผยข้อมูลเชิงลึกของลูกค้าไทย (Customer Insight) ที่ได้จากการวิเคราะห์ฐานข้อมูลการซื้อขายรถยนต์มือสองบนแพลตฟอร์มของคาร์โรในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา (ข้อมูลตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2564 – เมษายน พ.ศ. 2565) พบว่ารถอีโคคาร์ (Eco Car) ยังเป็นที่นิยมในหมู่ผู้บริโภคในประเทศไทย โดยครองยอดขายอันดับหนึ่งคิดเป็น 36% ด้วยราคาที่เข้าถึงได้ง่ายอัตราการประหยัดน้ำมันและขนาดกะทัดรัดเหมาะกับการขับระยะสั้นในเมือง รถประเภทนี้จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับผู้บริโภคส่วนใหญ่ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้น
ตามมาด้วย รถ 5 ประตู (Hatchback) คิดเป็น 23% ด้วยพื้นที่ใช้สอยที่มากกว่ารถเก๋ง (Sedan) ทั้งพื้นที่เก็บของที่กว้างขวางและสมรรถนะที่การขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ที่มีขนาดใหญ่มากกว่า จึงเหมาะกับการเดินทางทั้งในเมืองและทางไกล ส่วนอันดับที่สาม ได้แก่ รถไฮบริด (Hybrid) คิดเป็น 19% ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่ได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย ส่วนอันดับที่สี่และห้า ได้แก่ รถเก๋งขนาดใหญ่ (L-Sedan) คิดเป็น 10% และ รถเก๋งขนาดกลาง (M-Sedan) คิดเป็น 7% ตามลำดับ
ในด้านแบรนด์รถยนต์มือสองที่มีการซื้อขายมากที่สุด 5 อันดับแรก จากข้อมูลพบว่าเป็นแบรนด์จากประเทศญี่ปุ่นยังคงได้รับความนิยมมากที่สุดในตลาดประเทศไทย โดยประกอบด้วยอันดับหนึ่ง โตโยต้า (Toyota) คิดเป็น 27% ตามด้วย ฮอนด้า (Honda) คิดเป็น 23% นิสสัน (Nissan) คิดเป็น 14% มาสด้า (Mazda) คิดเป็น 9% และ มิตซูบิชิ (Mitsubishi) คิดเป็น 8%
โดยรถยนต์มือสองที่ลูกค้าสนใจซื้อ ส่วนใหญ่จะจดทะเบียนในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2561ถึง 2562 (ค.ศ. 2018-2019) โดยรถกลุ่มนี้มีเลขไมล์เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 60,000 กิโลเมตรเท่านั้น สอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าชาวไทย ที่ต้องการรถยนต์มือสองที่มีฟังก์ชันการใช้งานที่ยังคงทันสมัย เพียงพอต่อการใช้งานในปัจจุบัน ในขณะที่สภาพรถยนต์ยังคงเหมือนรถใหม่ในราคาที่ย่อมเยามากกว่า ทั้งนี้ ยังพบอีกว่า 2 ใน 5 ของลูกค้าของคาร์โรตัดสินใจซื้อรถยนต์มือสองจากบริษัทฯ ด้วยการจ่ายเงินสด
อรรณพ เกษตระทัต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คาร์โร (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “การที่บริษัทฯ มีฐานข้อมูลของผู้บริโภค รวมถึงเทคโนโลยีประมวลผลข้อมูลที่ทันสมัยเป็นอีกหนึ่งข้อได้เปรียบทางธุรกิจของคาร์โร ที่ช่วยให้เราสามารถพัฒนาบริการการซื้อขายรถยนต์มือสองตลอดเส้นทางของลูกค้า (Customer journey) ตั้งแต่การซื้อรถยนต์เข้า การปรับสภาพตลอดจนการส่งมอบถึงมือลูกค้า โดยทุกแผนกสามารถนำไปใช้ประโยชน์เพื่อพัฒนาการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบการซื้อรถยนต์มือสอง (Trade in) ที่สามารถรับซื้อและจัดเก็บรถเข้าคลัง (Stock) ให้รองรับความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย และตรงกับความต้องการการใช้งานรถยนต์ในขณะนั้น”
“นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนพัฒนาเทคโนโลยีฐานข้อมูลนี้ด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) เพื่อลดขั้นตอนการทำงานและเพิ่มความปลอดภัยในการเข้าถึงฐานข้อมูล ซึ่งทำให้เกิดความรวดเร็วในการมอบบริการซื้อขายรถยนต์มือสองมากที่สุด” อรรณพ กล่าวทิ้งท้าย