Site icon Onlinenewstime.com – News and Knowledge to sustainability

ไทยเบฟ เดินหน้าทรานส์ฟอร์มธุรกิจ สร้างการเติบโตยั่งยืนภายใต้ PASSION 2030 ตอกย้ำผู้นำเครื่องดื่ม–อาหารอาเซียน

thaibev30092025

Onlinenewstime.com : บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) (“ไทยเบฟ” หรือ “กลุ่ม”) แถลงทิศทางธุรกิจ พร้อมตอกย้ำความมุ่งมั่นในการเสริมสร้างการเติบโตระยะยาว แม้ภาวะเศรษฐกิจจะยังมีความท้าทาย แต่ไทยเบฟยังคงเดินหน้าพัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่อง ภายใต้โครงการทรานส์ฟอร์เมชัน ควบคู่กับการดำเนินกลยุทธ์เพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาว

โดยหนึ่งในก้าวสำคัญที่เสริมแกร่งธุรกิจของกลุ่มในปีที่ผ่านมา คือ การผนวกรวมธุรกิจและการดำเนินงานของบริษัท เฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ, ลิมิเต็ด (“F&N”) ผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม และการประกาศแผนการดำเนินงานภายใต้ PASSION 2030 เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตที่ยั่งยืน

นายฐาปน สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า “ภาวะเศรษฐกิจทั้งในระดับโลกและระดับภูมิภาคยังคงเผชิญความท้าทายจากการเติบโตที่ชะลอตัว ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าระหว่างประเทศ รวมถึงการท่องเที่ยวและการบริโภคที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่

ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ไทยเบฟยังคงมุ่งมั่นเสริมสร้างรากฐานธุรกิจให้แข็งแกร่ง พร้อมทั้งขับเคลื่อนกลยุทธ์ภายใต้ PASSION 2030 อย่างต่อเนื่อง ด้วยความมุ่งมั่นในการเข้าถึงผู้บริโภค รวมถึงส่งเสริมศักยภาพบุคลากร และเสริมแกร่งตราสินค้าของเรา

ซึ่งเราเชื่อว่ากลยุทธ์เหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างไทยเบฟให้มีความคล่องตัว แข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเติบโตได้อย่างยั่งยืน ตอกย้ำความเป็น ‘ผู้นำที่มั่นคงและยั่งยืนของอาเซียน’ ในธุรกิจเครื่องดื่มและอาหาร”

แผนการดำเนินงานภายใต้ PASSION 2030 ของไทยเบฟ มุ่งเน้นกลยุทธ์หลักสองประการ ได้แก่ ‘Reach Competitively’ หรือ การเข้าถึงผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการขยายเครือข่ายการกระจายสินค้าให้ครอบคลุมทุกช่องทาง

พร้อมการให้บริการที่เป็นเลิศไร้รอยต่อในระดับต้นทุนที่แข่งขันได้ และ ‘Digital for Growth’ หรือ ดิจิทัลเพื่อขับเคลื่อนการเติบโต เสริมศักยภาพในการขยายธุรกิจด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อเสริมสมรรถภาพและประสิทธิผลของการดำเนินงาน ควบคู่ไปกับการเชื่อมโยงเครือข่ายคู่ค้าและผู้บริโภค เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ 

การดำเนินงานเหล่านี้ช่วยเสริมสร้างรากฐานของไทยเบฟให้แข็งแกร่ง สามารถรับมือกับความผันผวนของตลาดได้ พร้อมทั้งเสริมแกร่งสถานะผู้นำตลาด และเสริมสร้างตราสินค้าที่แข็งแกร่งครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจ เพื่อสร้างคุณค่าให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายได้ต่อไปในระยะยาว

ในช่วง 9 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2568 ไทยเบฟมีรายได้จากการขายรวม 258,621 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้การบริโภคจะชะลอตัวลง และถึงแม้จะมีการลงทุนในตราสินค้าและการตลาดที่เพิ่มขึ้นตามแผนงานที่วางไว้เพื่อเสริมศักยภาพในการแข่งขันให้แก่ตราสินค้าต่าง ๆ แต่กลุ่มมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายตัดบัญชี (EBITDA) ลดลงเพียงร้อยละ 4.0 จากปีก่อน เป็น 45,026 ล้านบาท

เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจสู่ก้าวถัดไป ไทยเบฟมุ่งมั่นเสริมความแข็งแกร่งในฐานะผู้นำตลาดในประเทศ พร้อมขยายโอกาสในตลาดต่างประเทศ และพัฒนาศักยภาพจากการผนึกกำลังระหว่างกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ นอกจากนี้ กลุ่มยังแสวงหาโอกาสใหม่ ๆ เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน

รวมถึงมุ่งพัฒนานวัตกรรมดิจิทัลและการใช้เทคโนโลยี เพิ่มประสิทธิภาพห่วงโซ่อุปทานและการกระจายสินค้า ตลอดจนส่งเสริมการพัฒนาบุคลากร ตามแผนการดำเนินงานที่กำหนดไว้ภายใต้ PASSION 2030

ไทยเบฟพร้อมเดินหน้าบนเส้นทางสู่การเติบโตที่แข็งแกร่ง และสร้างสรรค์คุณค่าแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายด้วยความมุ่งมั่นตามพันธกิจ ‘สร้างสรรค์และแบ่งปันคุณค่าจากการเติบโต’ และวิสัยทัศน์สู่การเป็น ‘ผู้นำที่มั่นคงและยั่งยืนของอาเซียน’ ในธุรกิจเครื่องดื่มและอาหาร

ธุรกิจสุรามีรายได้จากการขายงวด 9 เดือน ปี 2568 จำนวน 92,778 ล้านบาท  ซึ่งทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่ปริมาณขายรวมลดลงร้อยละ 0.8 โดย EBITDA ลดลงเป็น 22,161 ล้านบาท

เนื่องจากค่าใช้จ่ายการตลาดที่เพิ่มขึ้นจากการลงทุนเพื่อเสริมแกร่งตราสินค้าและสนับสนุนการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ส่วนธุรกิจต่างประเทศ ซึ่งรวมถึงเมียนมา ยังคงมีผลประกอบการที่แข็งแกร่ง ธุรกิจสุราในไตรมาสล่าสุดมีกำไรที่ดีขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

นายโสภณ ราชรักษา รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจสุรา และผู้บริหารสูงสุด กลุ่มงานทรัพยากรบุคคลและสมรรถนะองค์กร กล่าวว่า “เรามุ่งมั่นเสริมแกร่งในฐานะผู้นำตลาดสุราในไทยและเมียนมาอย่างต่อเนื่อง

พร้อมทั้งยกระดับกลุ่มผลิตภัณฑ์ด้วยการนำเสนอสินค้าพรีเมียมเพื่อตอบโจทย์ความนิยมของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ นอกจากนี้ เรายังเดินหน้าขับเคลื่อนการเติบโตที่ยั่งยืนในตลาดภายในประเทศ และขยายโอกาสในตลาดต่างประเทศ ด้วยการลงทุนเพื่อเสริมแกร่งตราสินค้าหลัก และพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่มีเอกลักษณ์”

เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตที่ยั่งยืน กลุ่มธุรกิจสุรามุ่งเน้นการเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลักในประเทศไทย พร้อมทั้งเดินหน้าขยายสู่ตลาดต่างประเทศ ในประเทศไทย ไทยเบฟยังคงมุ่งมั่นเสริมแกร่งตราสินค้าหลักอย่าง รวงข้าว หงส์ทอง แสงโสม แม่โขง และเบลนด์ 285 อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดสุราขาวและสุราสีในประเทศ

นอกจากนี้ ไทยเบฟยังคงมุ่งมั่นผลักดันสุราไทยให้เป็นที่รู้จักบนเวทีโลก โดยมุ่งเน้นการถ่ายทอดเรื่องราวแหล่งที่มาของวัตถุดิบคุณภาพ มรดกทางวัฒนธรรม และความประณีตของงานฝีมือ ผ่านตราสินค้าสุราไทยคุณภาพระดับสากล อาทิ แสงโสม แม่โขง พระยา รวงข้าว สยาม แซฟไฟร์ และอีกหนึ่งก้าวสำคัญของกลุ่ม คือ การเปิดตัว ‘PRAKAAN (ปราการ)’ ผลิตภัณฑ์ซิงเกิลมอลต์วิสกี้ระดับพรีเมียมแบรนด์แรกของไทยเมื่อปลายปี 2567 ซึ่งสะท้อนความเป็นไทยอย่างชัดเจนด้วยรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ของตราสินค้า

เพียงไม่กี่เดือนหลังจากการเปิดตัว PRAKAAN (ปราการ) ก็ได้รับการยอมรับในระดับสากล และสามารถคว้ารางวัลมากมายจากเวทีระดับโลก โดยเฉพาะ PRAKAAN SELECT CASK (ปราการ ซีเล็คท์ คาสก์) ที่คว้ารางวัล Category Winner ในหมวด Single Malt, No Age Statement จากเวที World Whiskies Awards 2025 และเพื่อต่อยอดความสำเร็จในประเทศไทยและเอเชีย กลุ่มเดินหน้าขยายตลาดสินค้า PRAKAAN (ปราการ) สู่สหราชอาณาจักรและอีกหลายประเทศทั่วโลก โดยมุ่งเน้นกลยุทธ์การขายและการสร้างการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างการรับรู้ตราสินค้าในระดับสากล พร้อมทั้งวางรากฐานการเติบโตในระยะยาว

ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 กลุ่มได้ต่อยอดนวัตกรรมเพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคด้วยการเปิดตัว ZATO (ซาโต้) เครื่องดื่มแอลกอฮอล์พร้อมดื่มที่ยกระดับการหมักสาโทข้าวหอมมะลิแบบดั้งเดิมของไทยไปอีกขั้น โดยมาในรูปแบบกระป๋อง มีแคลอรี่ต่ำ และมี 2 รสชาติ ได้แก่ โคล่า บอมบ์ (Cola Bomb) และเลม่อน ไลม์ ฟิซ (Lemon-Lime Fizz)

หลังจากเปิดตัวเพียงไม่กี่เดือน ZATO (ซาโต้) ก็ได้รับความสนใจอย่างมากในประเทศไทย อีกทั้งยังได้รับการยอมรับในระดับโลกด้วยการคว้ารางวัลเหรียญทองในหมวด Ready-to-Drink จากเวที The Spirits Business Competition รางวัลเหรียญเงินจากเวที San Francisco World Spirits Competition 2025 และรางวัลเหรียญทองแดงจากเวที International Wine & Spirit Competition (IWSC)

การคว้ารางวัลจากเวทีระดับสากลเหล่านี้นับเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของ ZATO (ซาโต้) และเป็นการสะท้อนศักยภาพของนวัตกรรมไทยให้เป็นที่รับรู้บนเวทีโลก

สำหรับตลาดเมียนมา แกรนด์ รอยัล วิสกี้ (Grand Royal Whisky) ยังคงครองตำแหน่งตราสินค้าวิสกี้อันดับ 1 ในประเทศ ด้วยการปรับกลยุทธ์เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนการดำเนินงานที่แข็งแกร่งได้ ท่ามกลางความท้าทายและภัยพิบัติทางธรรมชาติ

โดยกลุ่มยังคงมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์และขยายช่องทางการจัดจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง  เพื่อรองรับการฟื้นตัวของธุรกิจและรักษาความเป็นผู้นำในตลาด นอกจากนี้ยังได้ขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์นอกเหนือจากสินค้าวิสกี้ ด้วยการเปิดตัว Chingu Soju (ชินกู โซจู) ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากในเมียนมา โดยปัจจุบันมีให้เลือก 5 รสชาติ ได้แก่ เฟรช สตรอว์เบอร์รี องุ่นเขียว พีช และโยเกิร์ต

ในส่วนของตลาดต่างประเทศ ไทยเบฟมุ่งเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันผ่านกลุ่มผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียม ครอบคลุมตั้งแต่สก็อตช์วิสกี้ คอนญัก นิวซีแลนด์วิสกี้ ซิงเกิลมอลต์วิสกี้ของไทย ไปจนถึงรัมบ่มอายุ โดยมุ่งเน้นทำการตลาดผ่านช่องทางการขายเฉพาะกลุ่มและที่สนามบิน

อีกทั้งยังเดินหน้าขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจ โดยใช้โอกาสครบรอบสำคัญของตราสินค้าหลัก อาทิ การครบรอบ 200 ปีของ Old Pulteney ในปี 2569 การครบรอบ 100 ปีของ Larsen ในปี 2569 และการครบรอบ 10 ปีของ Cardrona ในช่วงปลายปี 2568 จัดทำกิจกรรมการตลาดเพื่อเสริมแกร่งให้แก่ตราสินค้าอย่างต่อเนื่อง และได้เพิ่มศักยภาพการผลิตด้วยการขยายคลังสินค้าในเมืองแอร์ดรี สหราชอาณาจักร เพื่อรองรับความต้องการวิสกี้พรีเมียมที่เพิ่มขึ้น รวมถึงวางแผนขยายกำลังการผลิตที่โรงกลั่นในประเทศนิวซีแลนด์

นอกจากนี้ยังได้เปิดตัว ‘Caorunn Tom Yum Infused Gin’ เหล้าจินรุ่นพิเศษที่ผลิตขึ้นในจำนวนจำกัด เพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ 170 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทยกับสหราชอาณาจักร โดยนำเอารสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ของไทยมาหลอมรวมกับศิลปะการกลั่นจินแบบดั้งเดิมของสกอตแลนด์ ซึ่งเป็นการผสานวัฒนธรรมของทั้งสองประเทศเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว

นอกเหนือจากการขับเคลื่อนการเติบโตแล้ว ธุรกิจสุรายังให้ความสำคัญกับการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการติดตามความเคลื่อนไหวของราคาวัตถุดิบหลักอย่างใกล้ชิด ควบคู่ไปกับการพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงาน และควบคุมค่าใช้จ่ายด้านการโฆษณาและส่งเสริมการขายอย่างรอบคอบ

ในขณะเดียวกัน ธุรกิจสุรายังให้ความสำคัญเรื่องความยั่งยืน โดยได้เพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียน ผ่านการติดตั้งแผงผลิตพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาในโรงงานหลายแห่ง ทั้งภายในประเทศและตลาดต่างประเทศ พร้อมทั้งดำเนินโครงการจัดการของเสียอย่างครบวงจร เพื่อก้าวสู่เป้าหมายการลดปริมาณขยะที่ต้องนำไปฝังกลบให้เป็นศูนย์ (Zero Waste to Landfill) ตลอดจนการขยายโรงผลิตก๊าซชีวภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการนำพลังงานกลับมาใช้ และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

ในช่วง 9 เดือน ปี 2568 ธุรกิจเบียร์มีรายได้จากการขาย 96,497 ล้านบาท ซึ่งยังทรงตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากสภาวะตลาดที่ท้าทายในประเทศเวียดนาม แม้ว่าจะมีปริมาณขายรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.8 ก็ตาม

นอกจากนี้ยังมีอัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคาและค่าใช้จ่ายตัดบัญชี (EBITDA margin) เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 12.5 เป็นร้อยละ 13.0 อันเป็นผลจากต้นทุนวัตถุดิบหลักที่ลดลง และประสิทธิภาพในการผลิตที่ดีขึ้น ซึ่งส่งผลให้ธุรกิจมี EBITDA เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.0 เป็น 12,573 ล้านบาท

นายไมเคิล ไชน์ ฮิน ฟา ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจเบียร์ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท เบียร์โค ลิมิเต็ด กล่าวว่า “แม้ว่าการบริโภคในตลาดเวียดนามจะชะลอตัวลง แต่ธุรกิจเบียร์ยังคงเดินหน้าสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

โดยได้รับแรงหนุนจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น การบริหารจัดการต้นทุนอย่างรอบคอบ และการพัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงาน โดยเรายังคงมุ่งเน้นดำเนินกลยุทธ์หลักอย่างต่อเนื่อง ด้วยการบริหารกลุ่มผลิตภัณฑ์อย่างมีประสิทธิภาพ ยกระดับสถานะของตราสินค้าช้างในประเทศไทย และเสริมแกร่งความเป็นผู้นำตลาดของซาเบโก้ในประเทศเวียดนาม เพื่อวางรากฐานธุรกิจเบียร์ให้สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนในทั้งสองตลาดหลัก”

นางนงนุช บูรณะเศรษฐกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้อํานวยการใหญ่ และผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจเบียร์ ประเทศไทย กล่าวว่า “เรายังคงมุ่งมั่นเสริมแกร่ง ช้าง ซึ่งเป็นตราสินค้าหลักของเรา และเบียร์อันดับ 1 ของประเทศไทย

พร้อมเสริมสร้างการมองเห็นตราสินค้าและการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่องผ่านการขับเคลื่อนนวัตกรรมและกิจกรรมการตลาดที่ทรงพลัง ภายใต้กลยุทธ์หลัก 6 ประการ ที่ครอบคลุมการขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์พรีเมียม เพิ่มศักยภาพการกระจายสินค้า ยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงาน และพัฒนาการดำเนินงานด้านความยั่งยืน”

อุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของประเทศเวียดนามเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรง ท่ามกลางสภาวะการบริโภคที่ชะลอตัว อันเป็นผลกระทบจากข้อกำหนดตามพระราชกฤษฎีกาฉบับที่ 100 (Decree 100) และฉบับที่ 168 (Decree 168) 

นายเลสเตอร์ ตัน เต็ก ชวน กรรมการผู้จัดการของซาเบโก้ กล่าวว่า “แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทาย แต่ Bia Saigon ยังสามารถครองความเป็นผู้นำตลาดเบียร์ในประเทศเวียดนาม

โดยเรายังคงให้ความสำคัญกับการลงทุนเพื่อเสริมสร้างตราสินค้า ขับเคลื่อนวัตกรรมผ่านการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ พัฒนาประสิทธิภาพการดำเนินงาน และผลักดันเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (“ESG”) เพื่อสร้างรากฐานที่แข็งแกร่ง พร้อมรองรับการฟื้นตัวของตลาดในอนาคต โดยมุ่งเน้นดำเนินกลยุทธ์หลัก 4 ประการ อันจะช่วยส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนและมีความรับผิดชอบ”

ธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์มีรายได้จากการขายช่วง 9 เดือน ปี 2568 ลดลงร้อยละ 0.7 จากปีก่อน เป็น 49,326 ล้านบาท แม้ปริมาณขายรวมจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 โดยการลงทุนในตราสินค้าและกิจกรรมทางการตลาดที่เพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงผู้บริโภคในทุกช่องทาง ประกอบกับส่วนแบ่งกำไรของบริษัทร่วมที่ลดลง ส่งผลให้ธุรกิจมี EBITDA ลดลงร้อยละ 6.3 เป็น 8,718 ล้านบาท

นายโฆษิต สุขสิงห์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่และผู้บริหารสูงสุดปฏิบัติการประเทศไทย ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และผู้บริหารสูงสุด กลุ่มงานดิจิทัลและเทคโนโลยี กล่าวว่า “กลุ่มผลิตภัณฑ์ของเรายังได้รับความนิยมจากผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง แม้ในช่วงที่การบริโภคชะลอตัวลง เราจะเดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งให้ตราสินค้าหลัก

พร้อมขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ และนำเครื่องมือดิจิทัลมาใช้เพื่อเพิ่มความสามารถในการเข้าถึงผู้บริโภคทุกที่ ยิ่งไปกว่านั้น การรวมธุรกิจและการดำเนินงานของ F&N เข้ามาอยู่กับกลุ่มไทยเบฟ ยังช่วยเสริมความแข็งแกร่งจากการผนึกกำลังกัน และยกระดับกลยุทธ์ด้านช่องทางการจำหน่ายให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ซึ่งจะช่วยให้เพิ่มศักยภาพของกลุ่มให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคด้วยผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มที่หลากหลาย ครอบคลุมทุกโอกาสของการดื่ม ควบคู่ไปกับการยึดมั่นดำเนินธุรกิจด้วยความยั่งยืน”

ธุรกิจอาหารมีรายได้จากการขายช่วง 9 เดือน ปี 2568 ลดลงร้อยละ 1.4 จากปีก่อน เป็น 16,563 ล้านบาท อันเป็นผลจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับตัวลดลง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายและความต้องการในตลาดโดยรวม นอกจากนี้ ต้นทุนวัตถุดิบและค่าแรงที่สูงขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจมี EBITDA ลดลงเป็น 1,578 ล้านบาท

นายไพศาล อ่าวสถาพร ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารสูงสุด สายธุรกิจอาหาร ประเทศไทย กล่าวว่า
“เราเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจอาหารด้วยกลยุทธ์ที่สมดุลระหว่างการขยายสาขาใหม่ การขับเคลื่อนการเติบโตของยอดขายที่แท้จริง การเสริมแกร่งพื้นฐานทางธุรกิจ และการพัฒนาด้านความยั่งยืน เพื่อมอบประสบการณ์การรับประทานอาหารที่น่าประทับใจ พร้อมสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืนให้แก่ลูกค้า พนักงาน และชุม”

นางต้องใจ ธนะชานันท์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด กลุ่มงานความยั่งยืนและกลยุทธ์ กล่าวว่า “ความยั่งยืนเป็นรากฐานสำคัญของทุกมิติในการดำเนินธุรกิจของไทยเบฟ โดยเราได้น้อมนำพระปฐมบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่จะทรง ‘สืบสาน รักษา และต่อยอด เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎร’ พร้อมด้วยหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (SDGs) ทั้ง 17 ประการมาเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนการดำเนินงานของกลุ่ม เพื่อสร้างลัพธ์ที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม”

ไทยเบฟมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน และเดินหน้าสู่เป้าหมายในการ ‘สรรสร้างการเติบโต
ที่ยั่งยืน’ (Enabling Sustainable Growth) เพื่อบรรลุการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ (Net Zero) ครอบคลุม Scope 1 2 และ 3 ภายในปี 2593 กลุ่มได้ขับเคลื่อนโครงการด้านสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย โดยบรรลุผลด้านความยั่งยืนที่สำคัญ (ไม่รวมการดำเนินงานของ F&N) ดังต่อไปนี้

นอกจากนี้ ไทยเบฟยังได้ขับเคลื่อนโครงการด้านความยั่งยืนในด้านต่าง ๆ ของการดำเนินงาน ดังนี้

ติดตั้งแผงผลิตพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาและแผงพลังงานแสงอาทิตย์ลอยน้ำในโรงงาน 41 แห่ง และในสถานที่ปฏิบัติงานอีก 8 แห่งในประเทศไทย เมียนมา เวียดนาม สิงคโปร์ มาเลเซีย และฝรั่งเศส ซึ่งรวมกำลังการผลิตไฟฟ้าได้สูงสุด 61.86 เมกะวัตต์ (MWp) ในประเทศไทย ได้มีการติดตั้งหม้อต้มก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ที่โรงงานเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ในจังหวัดนครสวรรค์

ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดการใช้พลังงานจากน้ำมันเตาได้ 207,912 ลิตร และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 207 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานได้ประมาณ 1.05 ล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ยังได้สร้างโรงงานผลิตก๊าซชีวภาพแห่งที่ 8 ของกลุ่มในจังหวัดราชบุรี ซึ่งจะช่วยลดการใช้นำมันเชื้อเพลิงสำหรับผลิตไอน้ำได้ถึง 1.77 ล้านลิตรต่อปี และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 57,193 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

โออิชิและคริสตัลได้พัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยฝาขวดที่ยึดติดกับขวด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรีไซเคิลและลดปริมาณขยะพลาสติก ขณะที่เอสได้เปิดตัวเอสโคล่าขนาด 515 มล. ที่ผลิตขึ้นจากพลาสติกรีไซเคิล (rPET) ร้อยละ 100

ปัจจุบัน กลุ่มประสบความสำเร็จในการดำเนินโครงการเก็บคืนบรรจุภัณฑ์ครอบคลุมเกาะทั้ง 9 แห่งในภาคตะวันออกและภาคใต้ของประเทศไทย โดยโครงการดังกล่าวมุ่งพัฒนาแนวทางการเก็บคืนบรรจุภัณฑ์หลังการบริโภคที่มีประสิทธิภาพและประหยัดต้นทุน สำหรับเกาะและพื้นที่ที่มักประสบปัญหาการจัดการขยะจากข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์ ซึ่งในปี 2567 โครงการสามารถเก็บคืนบรรจุภัณฑ์ได้มากกว่า 2,500 ตัน 

กลุ่มได้ดำเนินโครงการเพื่อสังคม ‘แบ่งปันน้ำสู่ชุมชน’ ในประเทศไทยและเมียนมา และได้ขยายโครงการ ‘น้ำดื่มสะอาด’ สู่โรงเรียนรอบพื้นที่โรงงานในประเทศไทย และติดตั้งระบบกรองน้ำในโรงเรียน 15 แห่งในภาคกลางของเวียดนามเพื่อให้ชุมชนท้องถิ่นได้เข้าถึงน้ำดื่มสะอาด

นอกจากนี้ กลุ่มยังได้ร่วมมือกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในการดำเนินโครงการพัฒนาชุมชนเชิงพื้นที่ ณ อำเภอเชียงดาว ภายใต้แนวคิด ‘ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง’ โดยไทยเบฟได้ดำเนินโครงการบูรณะซ่อมแซมฝายน้ำขี้เหล็ก (ฝายแม่นะ) เพื่อส่งน้ำไปยังพื้นที่เพาะปลูกกว่า 1,630 ไร่

โดยโครงการสามารถกักเก็บน้ำได้ปีละประมาณ 123,000 ลูกบาศก์เมตร ถึง 205,000 ลูกบาศก์เมตร อีกทั้งยังได้จัดตั้งกองทุนน้ำเพื่อให้ชุมชนสามารถบริหารจัดการน้ำได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว

นอกจากนี้กลุ่มยังได้สนับสนุนการติดตั้งสถานีโทรมาตรอัตโนมัติจำนวน 72 สถานี ร่วมกับมูลนิธิอุทกพัฒน์ในพระบรมราชูปถัมภ์ และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.) เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในพื้นที่ป่าต้นน้ำในภาพเหนือ ครอบคลุมลุ่มน้ำปิง วัง ยม และน่าน ในพื้นที่ 11 จังหวัด

ความมุ่งมั่นในการดำเนินงานด้านความยั่งยืนและการยึดมั่นในมาตรฐานการรายงานะดับสูงของไทยเบฟ ยังคงได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติอย่างต่อเนื่อง

โดยในเดือนกรกฎาคม 2568 ไทยเบฟได้สร้างประวัติศาสตร์ในการเป็นบริษัทเครื่องดื่มรายแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้รับรางวัล Best Sustainability-Linked Loan – Beverage จาก The Asset Triple  A Sustainable Finance Awards 2025 นอกจากนี้เป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 ของไทยเบฟยังได้รับการรับรองจาก Science-Based Targets initiative (SBTi)

อีกทั้งยังได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิกในกลุ่มดัชนี Dow Jones Sustainability Index World (DJSI World) โดย S&P Global ต่อเนื่องเป็นปีที่ 8 และกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 9 และได้รับคะแนนประเมินจาก Carbon Disclosure Project (CDP) เพิ่มขึ้นเป็นระดับ A จากเดิมที่ได้ A- ในปี 2567 ทั้งในด้านการบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความมั่นคงทางน้ำ

กลุ่มงานทรัพยากรบุคคล

นายโสภณ ราชรักษา รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุดกลุ่มธุรกิจสุรา และผู้บริหารสูงสุดกลุ่มงานทรัพยากรบุคคลและสมรรถนะองค์กร กล่าวว่า “ไทยเบฟมุ่งมั่นเป็นหนึ่งในองค์กรสำหรับพนักงานที่ดีที่สุดในอาเซียน

พร้อมทั้งสร้างโอกาสไร้ขีดจำกัดเพื่อให้พนักงานได้เรียนรู้ เติบโต และประสบความสำเร็จท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ด้วยการผสานแนวทางการพัฒนาศักยภาพบุคลากรให้สอดคล้องกับเป้าหมายของกลุ่ม เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนการเติบโตขององค์กรภายใต้ PASSION 2030”

ไทยเบฟเชื่อว่าความพึงพอใจในสายอาชีพและโอกาสก้าวหน้าจะเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้พนักงานพร้อมทุ่มเท
ให้องค์กรได้ในระยะยาว กลุ่มจึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรบุคคลและการเสริมสร้างขีดความสามารถขององค์กร โดยถือเป็นหัวใจของกลยุทธ์ในการส่งเสริมบุคลากรให้แข็งแกร่งและมีความสามารถ พร้อมเติบโตเคียงข้างไปกับบริษัท

เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว ไทยเบฟได้ใช้กลยุทธ์การพัฒนาบุคลากรแบบองค์รวม (Holistic People Development) เพื่อส่งเสริมให้พนักงานมีทักษะความสามารถที่สำคัญและจำเป็นต่อบทบาทหน้าที่ในปัจจุบันและเส้นทางอาชีพในอนาคต

ทั้งนี้ กลุ่มได้ใช้เครื่องมือที่ปรับให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคลอย่างแผนการพัฒนารายบุคคล (Individual Development Plan หรือ “IDP”) เพื่อให้เป้าหมายด้านอาชีพสอดคล้องกับสิ่งที่สำคัญต่อธุรกิจมากที่สุด นอกจากนี้ กลุ่มยังได้ร่วมมือกับแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อการเรียนรู้ระดับโลกเพื่อเปิดโอกาสให้พนักงานเข้าถึงองค์ความรู้ชั้นนำ

รวมทั้งส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยตนเอง ช่วยให้พนักงานสามารถพัฒนาทักษะและปิดช่องว่างด้านความสามารถได้ตามจังหวะของตนเอง อีกทั้งยังสนับสนุนให้พนักงานเติมเต็มทักษะความสามารถของตนเองด้วยการเรียนรู้จากเพื่อนร่วมงานและประสบการณ์จริงควบคู่ไปกับการอบรม โดยเป็นส่วนหนึ่งของแผนการพัฒนารายบุคคล

ไทยเบฟมุ่งมั่นพัฒนาและขยายบุคลากที่มีศักยภาพควบคู่ไปกับการยกระดับกระบวนการพัฒนาผู้นำอย่างต่อเนื่อง เพื่อเตรียมความพร้อมสู่ความสำเร็จระดับองค์กรในอนาคต ในปี 2567 กลุ่มได้บรรลุเป้าหมายในการสร้างความผูกพันของพนักงานด้วยคะแนนรวมร้อยละ 86 ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายประจำปีที่กำหนดไว้ โดยมีการพัฒนาที่โดดเด่นในด้านสำคัญต่าง ๆ ทั้งการบริหารผลงาน ตราสินค้า ความหลากหลาย การมีส่วนร่วม ตลอดจนลักษณะงาน

สำหรับอนาคตข้างหน้า กลุ่มจะมุ่งเน้นการยกระดับทักษะเดิมและพัฒนาทักษะใหม่ของพนักงานด้วยแผนการดำเนินงานภายใต้ PASSION 2030 เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถใหม่ ๆ ที่จำเป็นต่อการขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจทั้งในด้าน Reach Competitively (การเข้าถึงผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ) และ Digital for Growth (ดิจิทัลเพื่อขับเคลื่อนการเติบโต)

Exit mobile version