Site icon Onlinenewstime.com – News and Knowledge to sustainability

‘ตลาดสัตว์เลี้ยง’ ไม่มีเหงา ฟันรายได้แตะ 2.5 แสนล้านบาท

โดยประเทศไทยมีธุรกิจสัตว์เลี้ยง 5,009 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียนเกือบหมื่นล้านบาท ปี 66 รายได้รวม 258,703 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 14,990 ล้านบาท

สำหรับ Exotic Pet เป็นเทรนด์ใหม่ที่ผู้บริโภคมีความนิยมมากขึ้น ด้านการลงทุนจากต่างชาติมี สิงคโปร์ ออสเตรเลีย และญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนสูงสุด นอกจากนี้ อนาคตธุรกิจสัตว์เลี้ยงยังสามารถไปต่อได้เพราะมีปัจจัยหลายด้านมาช่วยสนับสนุน

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนในสังคมได้เปลี่ยนแปลงไปจากอดีต โดยหันมาอยู่บ้านและใช้เวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้น รวมถึงการพาสัตว์เลี้ยงเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการใช้เวลายามว่างเพื่อแก้เหงา จนบางครั้งสัตว์เลี้ยงได้กลายเป็นเสมือนคนในครอบครัว

จากการวิเคราะห์ธุรกิจประจำเดือนมิถุนายน 2567 พบว่า ‘ธุรกิจสัตว์เลี้ยง’ มีอัตราการเติบโตขึ้นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (ปี 2562-2566) ทั้งจำนวนการจัดตั้งใหม่และทุนจดทะเบียน โดยข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567 ประเทศไทยมีธุรกิจสัตว์เลี้ยงที่จดทะเบียนนิติบุคคล 5,009 ราย

แบ่งเป็นธุรกิจ 3 กลุ่ม คือ ฟาร์มสัตว์ 1,233 ราย, อาหาร/ของเล่น 2,138 ราย และบริการ/ดูแล 1,638 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียน 98,798 ล้านบาท

แบ่งเป็น ฟาร์มสัตว์ 11,966 ล้านบาท, อาหาร/ของเล่น 80,444 ล้านบาท และบริการ/ดูแล 6,388 ล้านบาท

อธิบดี กล่าวต่อว่า “ธุรกิจสัตว์เลี้ยงส่วนใหญ่จัดตั้งในรูปแบบบริษัทจำกัด 3,900 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียน 93,342 ล้านบาท รองลงมาคือห้างหุ้นส่วนจำกัด/ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล 1,105 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียน 1,789 ล้านบาท และบริษัทมหาชน 4 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียน 3,667 ล้านบาท

และเมื่อแยกตามขนาดธุรกิจขนาดเล็ก S มีจำนวนมากที่สุดอยู่ที่ 4,498 ราย รองลงมาเป็นขนาดกลาง M 382 ราย และขนาดใหญ่ L 129 ราย   

ในธุรกิจสัตว์เลี้ยงกลุ่มอาหาร/ของเล่นถือเป็นกลุ่มที่เติบโตได้ดีที่สุดในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เป็นผลมาจากพฤติกรรมที่คนหันมาเลี้ยงสัตว์เพิ่มขึ้นส่งผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องเติบโตตามไปด้วย ในปี 2566 ธุรกิจสัตว์เลี้ยงมีรายได้รวมอยู่ที่ 258,703 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2565 คิดเป็น 5.79% เป็นกำไรสุทธิ 14,990 ล้านบาท

โดยกลุ่มอาหาร/ของเล่นเป็นกลุ่มที่สร้างรายได้สูงสุดอยู่ที่ 196,304 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2565 คิดเป็น 8.64% เป็นกำไรสุทธิ 14,263 ล้านบาท รองลงมากลุ่มบริการ/ดูแล สร้างรายได้ 23,562 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2565 คิดเป็น 0.96% เป็นกำไรสุทธิ 912 ล้านบาท

และกลุ่มฟาร์มสัตว์ สร้างรายได้ 38,837 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยจากปี 2565 คิดเป็น 4.11% ประกอบกับมีกำไรสุทธิลดลง 184.74 ล้านบาท

ทั้งนี้ ยังพบข้อมูลที่น่าสนใจในกลุ่มบริการ/ดูแล    มีเทรนด์การเติบโตที่เพิ่มขึ้น โดยเป็นธุรกิจที่ให้บริการด้านสุขภาพอย่างธุรกิจโรงพยาบาลสัตว์ บริการรับฝากสัตว์เลี้ยง อาบน้ำ/ตัดขน สำหรับครึ่งปีแรกของปี 2567 มีการจัดตั้งใหม่ 191 ราย เพิ่มขึ้นจากปี 2566 จำนวน 7 ราย คิดเป็น 3.80% มีทุนจดทะเบียน 311 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2566 จำนวน 51 ล้านบาท คิดเป็น 19.62%

อย่างไรก็ดี จากตัวเลขที่ปรากฎในข้างต้นแม้ว่ากลุ่มฟาร์มสัตว์จะมีรายได้ชะลอตัวลง แต่เมื่อพิจารณาในเชิงลึกแล้วจะพบว่า มีทุนจดทะเบียนจัดตั้งที่กลับสูงขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา (ปี 2566 ทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านบาท, ปี 2565 ทุนจดทะเบียน 511 ล้านบาท และปี 2564 ทุนจดทะเบียน 425 ล้านบาท)

เป็นผลมาจากเทรนด์ Petriarchy- Petfluencer- Pet Humanization ที่เป็นการเลี้ยงสัตว์แบบตามใจเป็นพิเศษ สัตว์เลี้ยงดาราที่มีเหล่า Follower พร้อมติดตาม และการเลี้ยงสัตว์เสมือนคนในครอบครัวทำให้เกิดการลงทุนในสุขภาพและความเป็นอยู่ของสัตว์เลี้ยงเหมือนคนจริง ๆ และการซื้อของเล่น ของใช้ อาหารแบบพรีเมียมเพื่อตามใจน้อง ๆ ที่เรารัก

นอกจากนี้ ยังมีเทรนด์การเลี้ยงสัตว์พิเศษ หรือ Exotic Pet มากขึ้น อาทิ สัตว์เลื้อยคลาน งู กิ้งก่ายักษ์ เต่า บุชเบบี้ (ลิงตัวเล็ก) ชินชิล่า และนกแก้ว ซึ่งบางประเภทเป็นสัตว์ที่ต้องมีใบอนุญาตตามอนุสัญญาไซเตสเพราะเป็นสัตว์ต่างถิ่นที่ต้องมีการนำเข้ามาในประเทศไทย

ทั้งนี้ ส่วนใหญ่แล้ว Exotic Pet จะเป็นสัตว์ที่ใช้พื้นที่ในการเลี้ยงไม่เยอะมากเหมาะกับคนรุ่นใหม่ที่อยู่ในเมืองไม่มีพื้นที่มาก แต่ต้องการมีเพื่อนไว้คลายเหงานั่นเอง 

ด้านการลงทุนของนักธุรกิจต่างชาติในประเทศไทยสร้างมูลค่าการลงทุนในธุรกิจสัตว์เลี้ยง 5,333 ล้านบาท แบ่งเป็น ฟาร์มสัตว์ 228 ล้านบาท, อาหาร/ของเล่น 4,807 ล้านบาท และบริการ/ดูแล 298 ล้านบาท โดยมีต่างชาติที่เข้ามาลงทุนสูงสุด 3 อันดับแรกคือ สิงคโปร์ มูลค่าการลงทุน 1,647 ล้านบาท รองลงมาออสเตรเลีย 871 ล้านบาท และญี่ปุ่น 728 ล้านบาท

ทิศทางของธุรกิจสัตว์เลี้ยงยังมีอนาคตที่สดใส เพราะตลาดมีการแข่งขันกันมากขึ้น ในขณะที่จำนวนผู้บริโภคก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน มากไปกว่านั้น สัตว์เลี้ยงได้กลายมาเป็นคอนเทนต์สร้างสีสันในโลกโซเชียล (Petfluencer) สร้างรายได้ให้เจ้าของที่นำเรื่องราวความน่ารักหรือการพาสัตว์เลี้ยงของตนเองไปท่องเที่ยวที่ต่างๆ มาเผยแพร่บนโลกออนไลน์จนเกิดผู้ติดตามและสร้างอิทธิพลทางความคิดจนเกิดการอยากเลี้ยงสัตว์ตามมา

อีกทั้ง การซื้อขายของใช้ อาหาร ขนม หรือของเล่นของสัตว์ที่สินค้ามีความหลากหลายให้เลือกซื้อมากขึ้น มีธุรกิจเกิดใหม่จากวัฏจักรชีวิตสัตว์เลี้ยงที่เรารัก เช่น บริการ Health & Wellness สำหรับสัตว์เลี้ยง และธุรกิจรับจัดงานอวมงคลโดยเฉพาะสำหรับสัตว์เลี้ยง ประกอบกับผู้ผลิตได้ปรับตัวในการผลิตสินค้าให้มีความปลอดภัย

มีรูปแบบที่ทันสมัย การใช้เทคโนโลยีมาช่วยเลี้ยงดูสัตว์เลี้ยง และเลือกใช้วัสดุจากธรรมชาติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสัตว์เลี้ยงมากขึ้น รวมถึง ปัจจุบันสถานที่ท่องเที่ยวอย่างห้างสรรพสินค้า โรงแรม สถานที่ท่องเที่ยวก็ต่างปรับตัวให้เป็น Pet Friendly ลูกค้าสามารถพาสัตว์เลี้ยงมาเที่ยวด้วยกันได้ จึงทำให้เกิดสังคมคนเลี้ยงสัตว์มารวมตัวกัน และยังมีพื้นที่ในการจำหน่ายสินค้าสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้นตามไปด้วย” อธิบดี กล่าวทิ้งท้าย

Exit mobile version