Site icon Onlinenewstime.com – News and Knowledge to sustainability

Krungthai Compass แนะภาคเกษตรไทย เตรียมความพร้อมรับมือ Climate Risk ที่รุนแรงขึ้น

Climate Risk 1

Key Highlights

อภินันทร์ สู่ประเสริฐ

กฤชนนท์ จินดาวงศ์

Krungthai COMPASS

ปัญหา Climate Risk ที่ทวีความรุนแรงขึ้นทั่วโลก ได้สร้างความเสียหายให้กับผลผลิตภาคเกษตรทั่วโลกอยู่ที่ราวปีละ 21,400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 71.6 หมื่นล้านบาท) และคาดว่าในปี 2030 ความเสียหายในภาคเกษตรจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ปีละ 150,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 502.5 หมื่นล้านบาท) [1]

ขณะที่ไทยเป็นประเทศผู้ผลิตสินค้าเกษตรและอาหารที่สำคัญของโลก ทำให้ปัจจัย Climate Risk มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ดังนั้น คำถามที่น่าสนใจคือ ผลกระทบจาก Climate Risk จากปรากฎการณ์เอลนีโญที่เกิดขึ้นรอบล่าสุดนี้จะสร้างความเสียหายต่อภาคเกษตรแค่ไหน?

ในระยะข้างหน้าภาคเกษตรจะเผชิญความเสี่ยงจากปัจจัยด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate Risk) ในมิติใดบ้าง? และผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องจะรับมือกับความเสี่ยงนี้อย่างไร? แต่ก่อนที่จะตอบคำถามเหล่านี้ อยากชวนผู้อ่านมาสำรวจข้อมูลสถานการณ์ Climate Risk ในไทยก่อนว่าน่ากังวลหรือยัง?

สถานการณ์ Climate Risk ในไทยเป็นอย่างไร?

ไทยมีความเสี่ยงสูงจากปัญหา Climate Change และความเสี่ยงดังกล่าวเริ่มส่งผลกระทบต่อไทยชัดเจนมากขึ้น โดยจากข้อมูลจาก Global Climate Risk 2021 ชี้ว่า ไทยถูกจัดอันดับเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในอันดับที่ 9 จาก 180 ประเทศทั่วโลก จึงมีโอกาสสูงที่จะเผชิญกับปัญหาสภาพอากาศที่สูงขึ้นกว่าปกติและสภาพอากาศสุดขั้ว (รูปซ้าย)

ขณะที่ล่าสุดในปี 2566 ไทยเจอกับปัญหากับสภาพอากาศที่ร้อนกว่าปกติ เช่นเดียวกับหลายประเทศในเอเชีย เห็นได้จากในช่วงเดือนเมษายน 2566 มีรายงานว่าที่ จ.ตาก มีอุณหภูมิสูงถึง 45.4 องศาเซลเซียส

สอดคล้องกับข้อมูลอุณหภูมิของแต่ละประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในเดือนเมษายน ปี 2023 ก็สูงขึ้นกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตปี 1990-2020 (รูปขวา) ซึ่งปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้น ส่งผลให้ปริมาณน้ำฝนลดน้อยลง ทำให้ไทยต้องเผชิญความเสี่ยงกับปัญหาขาดแคลนน้ำที่อาจทวีความรุนแรงมากขึ้นในอนาคต

ภาคเกษตรมีความเสี่ยงจากปัญหา Climate Risk แค่ไหน?

ภาคเกษตรเป็น Sector ที่มีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบจากปัญหา Climate Risk ชัดเจนกว่า Sector อื่น เนื่องจากมีสัดส่วนการใช้น้ำมากที่สุด เมื่อเทียบกับ Sector อื่นๆ โดยภาคเกษตรใช้น้ำคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 77% ของการใช้น้ำในแต่ละปีของไทย

ทั้งนี้ ความต้องการใช้น้ำในแต่ละปีของไทยอยู่ที่ราว 147,747 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) แบ่งเป็น การใช้น้ำสำหรับภาคเกษตรที่ 113,961 ล้าน ลบ.ม. (สัดส่วน 77% ของการใช้น้ำทั้งหมด) รองลงไปคือ การใช้เพื่อระบบนิเวศ 27,090 ล้าน ลบ.ม. (19%) การใช้เพื่อการท่องเที่ยวและอุปโภคบริโภคที่ราว 4,783 ล้าน ลบ.ม. (3%) และใช้สำหรับภาคอุตสาหกรรมที่ราวปีละ 1,913 ล้าน ลบ.ม. (1%)

โดยผู้เล่นในภาคเกษตรส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรรายย่อย ทำให้มีข้อจำกัดในการปรับตัวด้านการบริหารจัดการน้ำ อีกทั้งพื้นที่เพาะปลูกของไทยอยู่นอกพื้นที่ชลประทานถึง 78% ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จึงเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงจากปัญหาขาดแคลนน้ำในการทำเกษตรกรรมมากที่สุด

ในระยะข้างหน้า ปัญหา Climate Risk จะสร้างความเสี่ยง ต่อภาคเกษตรไทยในมิติใดบ้าง?

Climate Risk มีแนวโน้มจะสร้างความเสี่ยงต่อภาคเกษตรไทยใน 2 มิติหลัก คือ 1) ความเสี่ยงจากผล
กระทบทางกายภาพ (Physical risk) 2) ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่านต่อระบบเศรษฐกิจ (Transition risk)

โดยหากอ้างอิงจากบทความของ สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อม (Environmental Protection Agency: EPA) ที่นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับ Climate Risks and Opportunities Defined[2] พบว่าผลกระทบจากปัญหา Climate Change จะก่อให้เกิดความเสี่ยงใน 2 มิติ คือ

1) ความเสี่ยงด้าน Physical risk เช่น การเกิดภัยแล้งที่สร้างความเสียหายต่อผลผลิตทางการเกษตร และ 2) ความเสี่ยงด้าน Transition risk เช่น ความเสี่ยงต่อความสามารถในการแข่งขันของภาคเกษตรไทยในตลาดส่งออก จากการเปลี่ยนแปลงของกฎเกณฑ์และนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของคู่ค้า รวมทั้งพัฒนาการของเทคโนโลยีด้านสิ่งแวดล้อม และการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค

Krungthai COMPASS มองว่า ความเสี่ยงจากผลผลิตสินค้าเกษตรที่เสียหายจากปัญหาภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้น และความเสี่ยงจากนโยบายและกฎระเบียบทางการค้าที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น จะเป็นความเสี่ยงที่จะเห็นได้ชัดและส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยชัดเจนขึ้นในระยะ 1-2 ปีนี้ ดังนั้น ในบทความส่วนถัดไปนจะประเมินผลกระทบจากความเสี่ยงดังกล่าว เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้เตรียมปรับตัวเพื่อลดผลกระทบ

ความเสี่ยง จากความเสียหายต่อผลผลิตสินค้าเกษตรไทย

ปัญหา Climate risk ที่เห็นชัดเจนมากขึ้น คือ ภาวะเอลนีโญที่เกิดถี่ขึ้น ส่งผลให้เกิดภัยแล้ง และสร้างความเสี่ยงต่อผลผลิตสินค้าเกษตรไทย โดยก่อนที่จะเกิดเอลนีโญกำลังแรงในปี 2558-2559 นั้น ได้เกิดเอลนีโญในช่วงก่อนหน้า คือ ปี 2552-2553 หรือทิ้งช่วงประมาณ 5 ปี

แต่หลังจากปี 2559 เกิดเอลนีโญอีกครั้ง คือ ปี 2562-2563 และ 2566-2567 หรือเกิดถี่ขึ้นเป็นทุก 3 ปี ปัจจัยได้กล่าวส่งผลทำให้ผลผลิตสินค้าเกษตรเสียหาย โดยในปี 2558 และ 2562 ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรหดตัวราว 5.7%YoY และ 4.7%YoY ตามลำดับ

ดังนั้นภาวะเอลนีโญที่มีแนวโน้มเกิดถี่ขึ้นจะยิ่งสร้างความเสี่ยงต่อผลผลิตสินค้าเกษตรของไทยเพิ่มขึ้นในระยะข้างหน้า

เอลนีโญในรอบนี้จะสร้างความภาคเสียหายต่อเกษตรไทยแค่ไหน?

ปรากฎการณ์เอลนีโญที่เริ่มก่อตัวขึ้นตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลังของปี 2566 และจะทวีความรุนแรงในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 จะส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำต้นทุนที่ใช้ในการเพาะปลูก โดย ณ 19 ก.ค. 2566 ปริมาณน้ำในเขื่อนใช้การได้ โดยรวมทั้งประเทศอยู่ในระดับต่ำ

โดยเฉพาะภาคกลาง และภาคตะวันตก ซึ่งอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปี 2558 ที่เกิดภัยแล้งรุนแรง สถานการณ์ดังกล่าวจะสร้างความเสี่ยงต่อผลผลิตสินค้าเกษตรสำคัญอย่างข้าวนาปีที่จะมีผลผลิตออกสู่ตลาดมากในช่วงปลายปี 2566

รวมทั้งข้าวนาปรัง อ้อย และมันสำปะหลังที่จะมีผลผลิตออกสู่ตลาดมากในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยคาดว่าข้าว จะได้รับความเสียหายเป็นหลัก เนื่องจากภาคกลางซึ่งเป็นพื้นที่เสี่ยงภัยแล้งรุนแรงเป็นแหล่งเพาะปลูกข้าวที่สำคัญ โดยเฉพาะข้าวนาปรัง อีกทั้งเป็นพืชที่ทนแล้งได้น้อยกว่าอ้อย และมันสำปะหลัง

ผลผลิตสินค้าเกษตรสำคัญจะได้รับผลกระทบแค่ไหน?

เอลนีโญในรอบนี้คาดว่าจะทำให้ 3 พืชในภาคเกษตรกรรมสำคัญ ได้แก่ ข้าว อ้อย และมันสำปะหลังได้รับความเสียหายรวมกันอยู่ที่ราว 16,000-126,000 ล้านบาท โดยขึ้นอยู่กับความรุนแรงของสถานการณ์เอลนีโญซึ่งมีสมมติฐานในแต่ละกรณีดังนี้

Krungthai COMPASS มองว่า ความเสียหายในกรณีที่ 1 มีความเป็นไปได้มากที่สุด เนื่องจากสมมติฐานดังกล่าวสอดคล้องกับข้อมูลการคาดการณ์ของ Columbia Climate School ที่คาดว่า ในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 ไทยมีความเสี่ยงที่จะมีปริมาณฝนน้อยกว่าค่าปกติ[3]

รวมทั้งสอดคล้องกับการประเมินสถานการณ์ภัยแล้งของ กรมอุตุนิยมวิทยา ที่คาดว่า จะเกิดภาวะฝนทิ้งช่วงตั้งแต่ครึ่งปีหลังของปี 2566 ไปจนถึงกลางปี 2567 [4]ซึ่งจะทำให้ผลผลิตข้าว อ้อย และมันสำปะหลัง ได้รับผลกระทบตั้งแต่ช่วงปลายปี 2566 และทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567

เมื่อผลผลิตข้าวมีความเสี่ยงที่จะได้รับความเสียหายมากที่สุดแล้วธุรกิจโรงสีจะได้รับผลกระทบอย่างไร?

ความสามารถในการทำกำไรของโรงสีมีแนวโน้มจะลดลงจากภัยแล้งที่คาดว่าจะรุนแรงในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 ซึ่งจะทำให้ผลผลิตข้าวเสียหาย ทำให้อุปทานข้าวในตลาดมีจำกัด ส่งผลให้โรงสีมีต้นทุนรับซื้อของข้าวเปลือกจากเกษตรกรเพิ่มขึ้น แต่ราคาขายส่งข้าวสารที่โรงสีขายกลับปรับเพิ่มได้ไม่มากนัก เนื่องจากถูกกดดันจากการแข่งขันในตลาดส่งออก

เพราะข้าวไทยยังมีต้นทุนที่สูงกว่าคู่แข่งอย่างเวียดนามและอินเดีย และแม้ผลผลิตข้าวประเทศคู่แข่งสำคัญในการส่งออกข้าวของไทยอย่างเวียดนาม จะได้รับผลกระทบจากปัจจัยดังกล่าวเช่นกัน แต่อาจน้อยกว่าไทย เนื่องจากสายพันธุ์ข้าวของเวียดนามให้ผลผลิตมากกว่าและพึ่งพาการใช้น้ำน้อยกว่าข้าวไทย

โดยในปี 2567 (ปีที่คาดว่าจะเกิดเอลนีโญรุนแรง) คาดว่าวัตถุดิบข้าวเปลือกที่ป้อนเข้าสู่โรงสีจะลดลงราว 8.6% ตามปริมาณผลผลิตข้าวเปลือกที่ลดลงทั้งประเทศ 

อีกทั้งยังทำให้ต้นทุนรับซื้อข้าวเปลือกจะเพิ่มขึ้น 10.3% จาก 8,984 บาทต่อตัน ในปี 2565 เป็น 9,910 บาทต่อตัน ในปี 2567 ขณะที่ราคาขายส่งข้าวสารจะเพิ่มขึ้นเพียง 10.1% จาก 13,715 บาทต่อตัน ในปี 2565 เป็น 15,094 บาทต่อตันในปี 2567 และหากกำหนดให้ต้นทุนอื่น เช่น ค่าไฟและค่าขนส่งจะปรับลดลงตามต้นทุนพลังงานที่มีแนวโน้มลดลง ส่วนค่าแรงเพิ่มขึ้นตามนโยบายของรัฐบาล

ขณะที่ค่าหยงคงที่ โดยเมื่อพิจารณาจากตัวอย่างผู้ประกอบการที่เป็นโรงสีรายใหญ่ซึ่งมีกำลังการผลิตข้าว 1,000 ตันข้าวเปลือก/วัน คาดว่าในปี 2567 โรงสีดังกล่าวจะมีอัตรากำไรเหลือ 2.6% จาก 3.0% ในปี 2565 (ปีปกติที่ยังไม่เกิดเอลนีโญ) อย่างไรก็ตามยังเป็นอัตรากำไรที่สูงกว่าในช่วงปี 2558-2559 ที่เกิดเอลนีโญรุนแรง ซึ่งทำให้ในปีดังกล่าวโรงสีมีอัตรากำไรเฉลี่ยอยู่ที่เพียง 1.6%

ความเสี่ยงในมิติด้านกฎระเบียบทางการค้าโลกด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น

กฎระเบียบของคู่ค้าด้านสิ่งแวดล้อมในตลาดส่งออกที่เข้มงวดขึ้น จะเป็นอุปสรรคต่อการส่งออกสินค้าของไทยไปยังประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะ EU และ US ที่ให้ความสำคัญกับประเด็นมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มข้น เช่น นโยบาย Farm to Fork ของสหภาพยุโรปซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงยุโรปสีเขียว (European Green Deal) ที่ให้ความสำคัญกับการตรวจสอบย้อนกลับตั้งแต่กระบวนการผลิตไปจนถึงผู้บริโภค

โดยตั้งเป้าว่าจะลดคาร์บอนไดออกไซด์ให้ได้อย่างน้อย 55% ภายในปี 2030 นอกจากนั้น ยังมีมาตรการที่ในอนาคตมีโอกาสขยายวงมาสู่ธุรกิจเกษตรและอาหารได้ เช่น มาตรการปรับคาร์บอนข้ามพรมแดน (CBAM) ของ EU ที่คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในปี 2566

โดยแม้ในระยะแรก จะมีเพียงสินค้าประเภท ซีเมนต์ ไฟฟ้า ปุ๋ย เหล็ก อลูมิเนียม และไฮโดรเจนเท่านั้น ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการดังกล่าว ส่งผลให้สินค้าที่กล่าวมาข้างต้นมีโอกาสถูกเรียกเก็บภาษีคาร์บอนในอัตราราว 52-137 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันคาร์บอน-ไดออกไซด์เทียบเท่า (CO2) ขึ้นอยู่กับประเภทสินค้าและประเทศปลายทาง[5] แต่ในระยะต่อไปคาดว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ EU จะขยายมาตรการให้ครอบคลุมไปถึงสินค้าประเภทอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าเกษตรและอาหาร ทำให้ต้นทุนของผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่ออัตรากำไรและความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ

Implication:

Krungthai COMPASS แนะนำ ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในภาคเกษตรดังต่อไปนี้

ธุรกิจเกษตรแปรรูป
เกษตรกร
ภาครัฐ

[1] อ้างอิงจากบทความ Farm and food investors face $150 billion loss on climate change

[2] อ้างอิงจากบทความ Climate Risks and Opportunities Defined ของ สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อม (Environmental Protection Agency -EPA)

[3] อ้างอิงจาก https://iri.columbia.edu/our-expertise/climate/forecasts/
seasonal-climate-forecasts/

[4] อ้างอิงจาก บทความ ปีนี้ประเทศไทยยังไม่มีโอกาสเกิด “คลื่นความร้อน”

[5] อ้างอิงจาก Carbon Tax & Carbon War ผู้ประกอบการไทยเตรียมพร้อมรับมืออย่างไรแล้วบ้าง

[6] อ้างอิงจากรายงาน Financing a water secure future, OECD https://www.oecd.org/environment/resources/policy-highlights-financing-a-water-secure-future.pdf

Exit mobile version