Site icon Onlinenewstime.com – News and Knowledge to sustainability

จับตาน้ำท่วมยังไม่วิกฤต แต่เสี่ยงเพิ่มจากฝนต่อเนื่อง–น้ำเขื่อนสูง–น้ำทะเลหนุน

The flooding is not yet critical.

Onlinenewstime.com : แม้สถานการณ์น้ำท่วมหลายพื้นที่ในประเทศไทยเริ่มคลี่คลาย แต่ยังมีการแจ้งเตือนยังต้องเฝ้าระวัง จากปัจจัยเสี่ยงที่อาจซ้ำเติมสถานการณ์ ทั้งฝนจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ การระบายน้ำจากเขื่อนใหญ่ที่อยู่ในระดับสูง และน้ำทะเลหนุน

กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รายงานเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2568 เวลา 06.00 น. ว่า สถานการณ์อุทกภัยยังคงกระทบ 16 จังหวัด ได้แก่ อุตรดิตถ์ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ สุโขทัย พิจิตร นครสวรรค์ อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นครปฐม ชัยภูมิ และฉะเชิงเทรา ประชาชนกว่า 102,051 ครัวเรือน หรือ 345,712 คน ได้รับผลกระทบ และมีรายงานผู้เสียชีวิตแล้ว 12 ราย

สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) รายงานข้อมูลฝนสะสม 24 ชั่วโมง (5 ต.ค. 68 เวลา 7.00 น.) พบว่า กทม. มีฝนสูงสุดถึง 122 มม. รองลงมาคือ จ.แพร่ 97 มม., เลย 68 มม., กาญจนบุรี 63 มม., ระยอง 53 มม. และยะลา 54 มม.

สถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำทั่วประเทศมีปริมาณรวมอยู่ที่ 84% ของความจุเก็บกัก หรือ 67,292 ล้าน ลบ.ม. โดยเป็นน้ำใช้การ 74% (43,171 ล้าน ลบ.ม.) ซึ่งถือว่าค่อนข้างสูงและต้องเฝ้าระวัง โดยเฉพาะพื้นที่ท้ายเขื่อนใหญ่ เช่น เขื่อนเจ้าพระยา และเขื่อนป่าสักฯ

คาดว่าในช่วงวันที่ 6-8 ตุลาคม ร่องมรสุมจะเลื่อนลงมาพาดผ่านภาคกลางตอนล่าง ภาคตะวันออก และภาคใต้ตอนบน ทำให้ ฝนลดลงในภาคเหนือและอีสาน แต่เพิ่มขึ้นในภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ เสี่ยงน้ำท่วมฉับพลัน-น้ำป่าไหลหลากในหลายพื้นที่

กรมอุตุนิยมวิทยาออกประกาศฉบับที่ 10 (5 ต.ค. 22.00 น.) ระบุว่า พายุไต้ฝุ่น “แมตโม” เคลื่อนขึ้นฝั่งมณฑลกว่างซี ประเทศจีน และจะอ่อนกำลังลง ไม่เข้าสู่ประเทศไทยโดยตรง แต่ทำให้มรสุมตะวันตกเฉียงใต้แรงขึ้น ส่งผลให้ ภาคเหนือ อีสาน และด้านรับมรสุมของภาคตะวันออก มีฝนตกหนักบางแห่ง

คลื่นลมทะเลอันดามันสูง 1-2 เมตร พื้นที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงกว่า 2 เมตร กรมอุตุฯ เตือนชาวเรือเพิ่มความระมัดระวังและติดตามประกาศอย่างใกล้ชิด

ข้อมูลจาก Application “เช็คน้ำ” ของ GISTDA ระบุว่าหลายพื้นที่ท้ายเขื่อนเจ้าพระยามีสัญญาณสีแดงเตือนระดับน้ำสูง โดยเฉพาะใน พระนครศรีอยุธยา นครปฐม และฉะเชิงเทรา

สทนช.ประเมินว่าหากฝนยังตกหนักและน้ำจากเขื่อนเหนือไหลลงมาสมทบ พื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาและลุ่มต่ำต่อเนื่องถึงภาคกลางตอนล่างต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ลงพื้นที่ตรวจสถานีสูบน้ำพระโขนง (5 ต.ค.) ยืนยันว่า สถานการณ์น้ำในกรุงเทพฯ ยังไม่วิกฤต แม้ปริมาณน้ำในเขื่อนหลัก เช่น เขื่อนแควน้อย เขื่อนสิริกิติ์ และเขื่อนภูมิพล จะค่อนข้างสูง แต่การปล่อยน้ำยังอยู่ในระดับ 2,500 ลบ.ม./วินาที ต่ำกว่าปี 2554 ที่มีระดับวิกฤต 3,500 ลบ.ม./วินาที

อย่างไรก็ตาม ผู้ว่าฯ เตือนให้เฝ้าระวัง น้ำทะเลหนุนสูง 10-11 ต.ค. โดยจะหนุนสูงวันละ 2 รอบ (09.00 น. และ 19.00 น.) พร้อมกำชับให้ชุมชนริมน้ำ นอกแนวคันกั้นน้ำ เช่น ชุมชนโรงสี และเทวราชกุญชร เตรียมรับมือ

ขณะเดียวกัน กทม.เร่งปรับปรุงระบบระบายน้ำ เช่น การขุดลอกหน้าสถานีสูบน้ำพระโขนง การเสริมเขื่อน การซ่อมเครื่องสูบน้ำ และเร่งระบายน้ำจากจุดอ่อนอย่างคลองประเวศ รวมถึงเตรียมใช้งาน อุโมงค์หนองบอน ที่คาดว่าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายน้ำในปีหน้า

แม้สถานการณ์น้ำท่วมยังไม่ถึงขั้นวิกฤต แต่ความเสี่ยงยังคงสูงจากปัจจัย ฝนตกหนักต่อเนื่อง น้ำเขื่อนเต็ม และน้ำทะเลหนุน โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาและเมืองใหญ่ เช่น กทม. การบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการระหว่างเขื่อน หลักระบายน้ำ และระบบสูบน้ำในเมืองจึงเป็นกุญแจสำคัญในการลดผลกระทบต่อประชาชนในสัปดาห์นี้และต่อไปจนสิ้นสุดฤดูฝน.

หน่วยงานทั้ง ปภ., สทนช., กรมอุตุนิยมวิทยา, GISTDA และกรุงเทพมหานคร ย้ำให้ประชาชนในพื้นที่ลุ่มต่ำและริมแม่น้ำ โดยเฉพาะใน พระนครศรีอยุธยา นครปฐม ฉะเชิงเทรา และ กทม. ติดตามข้อมูลและประกาศเตือนภัยจากทางการอย่างใกล้ชิด และเตรียมพร้อมรับมือกับฝนตกหนักและน้ำทะเลหนุนในสัปดาห์หน้า

ประชาชนสามารถติดตามข้อมูลพยากรณ์อากาศได้จากกรมอุตุนิยมวิทยา (www.tmd.go.th) หรือสายด่วน 1182 และสถานการณ์น้ำแบบเรียลไทม์จากแอปพลิเคชัน “เช็คน้ำ” ของ GISTDA เพื่อวางแผนรับมือได้ทันท่วงที

Exit mobile version