Onlinenewstime.com : บลูบิค (Bluebik) แนะนำหลักการ Agile มาปรับใช้กับการทำการตลาดให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการ ได้รวดเร็วขึ้นกว่าการทำตลาดแบบเดิม ด้วยการสร้างแคมเปญการตลาดขนาดเล็ก หรือประเมินความต้องการของลูกค้าแบบเรียลไทม์ จากข้อมูลที่ทำการเก็บอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งการทำการตลาดแบบ Agile จะช่วยสร้างยอดขายเพิ่มขึ้น และนำเสนอสินค้าได้ทันความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น พร้อมแนะ 4 สเต็ปประยุกต์ใช้ Agile กับการทำการตลาดให้ประสบความสำเร็จในยุคโควิด-19 ระบาด ได้แก่ วางกรอบและแนวทางการทำงานให้ชัดเจน ซึ่งตั้งอยู่บนความเข้าใจเดียวกันของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง สร้างทีม Agile เฉพาะกิจ เริ่มจากแคมเปญการตลาดขนาดเล็ก และ หมั่นวัดและประเมินผลเพื่อค้นหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ
นายพชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด บริษัทที่ปรึกษาชั้นนำด้านกลยุทธ์และการจัดการด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี เปิดเผยว่า หากธุรกิจต้องการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน และนำเสนอสินค้าบริการให้ตรงใจ นักการตลาดยุคใหม่ ควรต้องปรับกลยุทธ์การตลาด ให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค หลังวิกฤตโควิด-19
ที่เปลี่ยนไปทั้งด้านอุปนิสัย และพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคชาวไทย โดยนำหลักการ Agile มาปรับใช้ เพื่อเพิ่มความคล่องตัว และเสริมประสิทธิภาพในการทำการตลาด ในวันที่ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไป
Agile คือกระบวนการ ที่จะช่วยให้การทำงานรวดเร็วขึ้น เน้นสื่อสารระหว่างบุคคล เพื่อความเข้าใจกัน โดยมีการกระจายอำนาจการตัดสินใจ และเปลี่ยนวิธีการทำงาน จากที่กำหนดเป้าหมายระยะยาวแบบมุ่งไปครั้งเดียว เป็นระยะสั้นๆ หรือที่เรียกว่า สปรินท์ (Sprint)
เพื่อให้สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในโลกธุรกิจ ซึ่งเกิดขึ้นได้ทุกวัน และแก้ไขปัญหาข้อผิดพลาด ที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อให้เกิดการคิดริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ จากการระดมสมอง อย่างไม่มีขีดจำกัด ส่งผลให้สินค้าและบริการ ได้รับการพิจารณาและปรับปรุงจากทุกฝ่ายพร้อมกัน
มีระบบความคิดที่รอบคอบ สามารถดึงจุดแข็งของธุรกิจดั้งเดิม ออกมาตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภค แบบไร้ข้อผิดพลาด หรือมีข้อผิดพลาดน้อยที่สุด ที่สำคัญที่สุดคือ การร่วมงานอย่างใกล้ชิดและการสื่อสารที่ชัดเจน
“Agile ในบริบทของการทำการตลาด เป็นการสร้างแคมเปญการตลาดที่คล่องตัว สามารถปรับเปลี่ยน และนำเสนอผลิตภัณฑ์ได้อย่างรวดเร็ว จากการใช้ข้อมูลมาวิเคราะห์ เพื่อพัฒนากลยุทธ์การตลาดตามความต้องการของผู้บริโภค
โดยยิ่งธุรกิจออกแคมเปญการตลาดเร็วขึ้นเท่าไร จะได้รับผลตอบรับจากผู้บริโภคเร็วขึ้นเท่านั้น และสามารถนำผลตอบรับดังกล่าว มาปรับปรุงให้แคมเปญใหม่ตรงใจลูกค้ามากขึ้น และออกแคมเปญได้ ในเวลาที่เหมาะสมทันต่อเหตุการณ์ ซึ่งจะช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ หรือหาทางแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ แบบเรียลไทม์” นายพชร กล่าว
ทั้งนี้ การทำการตลาดแบบ Agile เป็นแนวทางที่หลายองค์กรในต่างประเทศ นำไปใช้จริง จากรายงานการสำรวจองค์กรธุรกิจชั้นนำชื่อ State of Agile จาก Digital.ai บริษัทให้บริการโซลูชั่นการบริหารจัดการองค์กรในประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ทำการสอบถามความเห็นจากผู้บริหาร และที่ปรึกษาธุรกิจ จากหลายภาคอุตสาหกรรมมากกว่า 1,000 รายทั่วโลกเมื่อปี พ.ศ. 2562
พบว่า โดย 60% ขององค์กรที่นำหลักการ Agile มาปรับใช้ ระบุว่าช่วยให้ออกแคมเปญการตลาด ได้รวดเร็วขึ้นกว่าการตลาดแบบเดิม และ 26% เปิดเผยว่าช่วยลดต้นทุนการทำแคมเปญลงด้วยเช่นกัน
นายพชร ยังระบุถึงขั้นตอนเบื้องต้น ที่องค์กรธุรกิจสามารถนำหลักการ Agile ไปประยุกต์ใช้ กับการทำการตลาด เพื่อเพิ่มความคล่องตัว และเสริมประสิทธิภาพในการทำการตลาด ในยุคการแพร่กระจายของโควิด-19 ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ดังนี้
- วางกรอบเป้าหมาย ซึ่งนับเป็นขั้นตอนลำดับแรก โดยตั้งอยู่บนความเข้าใจเดียวกันของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วยการตั้งเป้าหมาย และวางแนวทางการทำงานเบื้องต้น ทั้งการสร้างทีมงาน วิธีการทำงานของนักการตลาด หรือแนวทางการสร้างแคมเปญ เพื่อนำไปสู่การกำหนดรูปแบบการทำการตลาด และการนำแนวคิดไปปฏิบัติจริง
- สร้างทีม Agile Marketing เฉพาะกิจ ซึ่งมีความแตกต่างจากทีมงานอื่นๆ ภายในองค์กร โดยประกอบด้วยสมาชิกจำนวนไม่มาก ประมาณ 8 คน ที่มาจากหลายสายงานและมีทักษะแตกต่างกัน เพื่อช่วยให้การตัดสินใจต่างๆ และการทำงานประสานงานกันรวดเร็วและคล่องตัว โดยหน้าที่หลักของทีม คือการสร้าง ทดลองแคมเปญการตลาดใหม่ๆ และนำแคมเปญที่ประสบความสำเร็จ ไปต่อยอดปรับใช้แคมเปญอื่นๆ ในอนาคต โดยอ้างอิงตามข้อมูลผลลัพธ์จากแคมเปญก่อนหน้า
- เริ่มทำการตลาดจากแคมเปญเล็กๆ จะช่วยให้สามารถปรับเปลี่ยนแนวทางที่เหมาะสม ได้ทันการณ์ หากมีแนวโน้มยังไม่บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมาย อีกทั้งการทำแคมเปญเล็กจะใช้งบประมาณที่ไม่มากนัก และควรมีระยะเวลาการทำแคมเปญ ไม่เกิน 2 สัปดาห์แต่ต้องทำอย่างต่อเนื่องในระยะยาว โดยเบื้องต้น ธุรกิจสามารถเริ่มจากการเลือกทำการตลาดกับลูกค้ากลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เพื่อเป็นการทดลองก่อน
- วัดและประเมินผล โดยอ้างอิงจากข้อมูลผลลัพธ์ต่างๆ ที่เก็บรวบรวมได้ ในการทำแคมเปญ ซึ่งจะทำให้ธุรกิจรู้ว่าแคมเปญแบบไหน เหมาะสมที่สุดและได้ผลลัพธ์ดีที่สุด เพื่อนำไปพัฒนาแคมเปญในอนาคต ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ การวัดและประเมินผลแคมเปญ ยังช่วยค้นหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ เพื่อสร้างการขยายตัวให้องค์กรต่อไป
ขณะเดียวกัน นายพชรยังแนะเคล็ดลับ ในการทำการตลาดแบบ Agile ให้ประสบความสำเร็จเพิ่มเติม โดยธุรกิจจำเป็นต้องคำนึงถึงหลักการ 3 ข้อ อาทิ
การเรียนรู้สิ่งใหม่จากการทดลองทำจริง ซึ่งเป็นการนำความคิดต่างๆ ไปลองปฏิบัติจริง โดยไม่ต้องรอให้ความคิดดังกล่าวสมบูรณ์แบบ จากนั้น ประเมินผลลัพธ์จากข้อมูลที่ได้ และนำสิ่งที่เรียนรู้ ไปใช้พัฒนาแคมเปญในอนาคต
นอกจากนี้ องค์กรยังควรเพิ่มการประสานงานและแบ่งปันข้อมูลระหว่างหลายฝ่าย ทั้งระหว่างฝ่ายประชาสัมพันธ์ ฝ่ายปฏิบัติการ และฝ่ายขาย เพื่อให้ฝ่ายการตลาด ได้เข้าถึงข้อมูลพฤติกรรมลูกค้าที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งจะช่วยให้สามารถออกแบบแคมเปญการตลาด ได้ตรงกับความต้องการของลูกค้ายิ่งขึ้น
ขณะที่หลักการสุดท้าย คือการให้ความสำคัญกับผลลัพธ์ที่กำลังเกิดขึ้นมากกว่าคาดการณ์ ซึ่งเน้นที่การเข้าใจปัญหา และความต้องการที่เกิดขึ้นจริงของลูกค้า หลังจากนั้นนำปัญหาดังกล่าว มาคิดแคมเปญ ที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ แทนการทำแคมเปญ โดยยึดตามคาดการณ์ล่วงหน้า ที่อาจล่าช้าเกินไป และไม่ทันกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป
“หากธุรกิจต้องการอยู่รอดและเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในโลกที่พฤติกรรมผู้บริโภคและปัจจัยแวดล้อมทางธุรกิจเปลี่ยนไว การเปลี่ยนแนวทางทำการตลาดแบบเดิม มาเป็นการทำการตลาดแบบ Agile ซึ่งมีความคล่องตัว จะช่วยให้องค์กร พร้อมรับมือเทรนด์ผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว และสร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่งในตลาด” นายพชร กล่าวทิ้งท้าย