fbpx
News update

เนสท์เล่ประกาศเดินหน้าการเกษตรแบบฟื้นฟู พร้อมมุ่งสู่การใช้พลังงานไฟฟ้าหมุนเวียน

Onlinenewstime.com : ในฐานะบริษัทที่ร่วมลงนามในปฏิญาณ ‘Business Ambition for 1.5°C’ ของสหประชาชาติ เนสท์เล่นับเป็นบริษัทแห่งแรก ๆ ที่ออกมาเปิดเผยรายละเอียดและกรอบเวลา พร้อมดำเนินการตามแผนให้เร็วกว่าที่กำหนด

เนสท์เล่ได้นำมาตรการหลายอย่างมาใช้ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงครึ่งหนึ่งภายในปี 2573 และลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิจนเหลือศูนย์ (net zero) ภายในปี 2593 พร้อมกับการสร้างความเติบโตให้บริษัท ในเวลาเดียวกัน

การดำเนินการของเนสท์เล่มุ่ งเน้นที่การสนับสนุนเกษตรกรและซัพพลายเออร์ ให้สามารถทำการเกษตรแบบฟื้นฟู ตลอดจนปลูกต้นไม้หลายร้อยล้านต้น ภายในอีก 10 ปีข้างหน้า และปรับองค์กรไปสู่การใช้พลังงานไฟฟ้าหมุนเวียนได้ทั้ ง 100 เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2568 นอกจากนี้ เนสท์เล่ยังพยายามเพิ่มจำนวนแบรนด์ในเครือ ที่ “ปล่อยก๊าซคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์” ให้มากขึ้น

 ประธานกรรมการของเนสท์เล่ พอล บุลเก้ กล่าวว่า “คณะกรรรมการบริษัท ตระหนักดีว่าการใช้มาตรการที่เฉียบขาด ในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนั้น เป็นสิ่งสำคัญในเชิงกลยุทธ์ เพราะมีส่วนช่วยทั้งเร่ง และยกระดับการทำงานของเรา ให้พัฒนาไปสู่ความสำเร็จระยะยาวได้ และมีบทบาทช่วยสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้แก่คนรุ่นหลัง”

 แนวทางตามแผนงานนี้ เกิดจากการทบทวนภาพรวมของธุรกิจ และการดำเนินงานของเนสท์เล่ เพื่อให้เข้าใจประเด็นความท้าทายนี้ได้อย่างลึกซึ้ง และตัดสินใจดำเนินมาตรการที่จำเป็น เพื่อรับมือกับสถานการณ์ บริษัทมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 92 ล้านตันในปี 2561 ซึ่งบริษัท จะใช้เป็นปีฐานในการประเมินความก้าวหน้าต่อไป

 “การจัดการกับปัญหาสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่เรารอไม่ได้ เพราะประเด็นนี้เป็นสิ่งสำคัญต่อความสำเร็จในระยะยาวของธุรกิจเรา” มาร์ค ชไนเดอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเนสท์เล่กล่าว “นับว่าเรามีโอกาสที่ดีมาก ๆ ในการแก้ไขและจัดการปัญหา ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพราะเราดำเนินธุรกิจ อยู่ในเกือบทุกประเทศทั่วโลก เราจึงมีความพร้อมทั้งด้านขนาด  ศักยภาพ และการเข้าถึง ที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ บริษัทจะร่วมมือกับเกษตรกร พันธมิตรในอุตสาหกรรม รัฐบาล องค์กรที่ไม่แสวงผลกำไร และลูกค้าของเรา เพื่อร่วมกันช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม”

การดำเนินงานของเนสท์เล่ในการทำให้อัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ครอบคลุม 3 ด้านหลัก ดังนี้:

บริษัทได้ทำงานร่วมกับเกษตรกรมากกว่า 500,000 ราย และซัพพลายเออร์อีก 150,000 ราย โดยช่วยสนับสนุนให้พวกเขา นำแนวทางด้านการเกษตรฟื้นฟูไปใช้ ซึ่งแนวทางดังกล่าว จะช่วยพัฒนาคุณภาพดิน รวมทั้งรักษาและฟื้นฟูความหลากหลายในระบบนิเวศ

เนสท์เล่ได้ตอบแทนกลับสู่เกษตรกร ด้วยการซื้อสินค้าของพวกเขา ในราคาที่สูงกว่าราคาตลาด รวมถึงการซื้อสินค้าในปริมาณมากขึ้น และร่วมลงทุน ในส่วนที่ต้องอาศัยเงินลงทุน ทั้งนี้ เนสท์เล่ตั้งเป้าว่าจะต้องจัดหาวัตถุดิบต่าง ๆ จากการทำการเกษตรแบบฟื้นฟูเป็นปริมาณ 14 ล้านตันภายในปี 2573 ซึ่งจะไปกระตุ้นความต้องการในสินค้าดังกล่าวด้วย

เนสท์เล่ยังได้ยกระดับโครงการปลูกป่าทดแทน ให้เพิ่มขึ้นเป็น 20 ล้านต้นต่อปี ในช่วงอีก 10 ปีข้างหน้า ในบริเวณที่มีการจัดซื้อหรือจัดหาวัตถุดิบต่าง ๆ เพราะการมีต้นไม้มากขึ้น หมายถึงร่มเงาที่เพิ่มขึ้น สำหรับพืชผลต่าง ๆ ช่วยขจัดคาร์บอนออกจากชั้นบรรยากาศได้เพิ่มขึ้น ให้ผลผลิตที่เพิ่มขึ้น ตลอดจนเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ และคุณภาพดินที่ดีขึ้นด้วย

สำหรับการจัดหาสินค้าโภคภัณฑ์หลัก ๆ ของบริษัท อย่างน้ำมันปาล์มและถั่วเหลือง จะไม่มีการตัดไม้ทำลายป่า ภายในปี 2565 ความพยายามในการดำเนินมาตรการต่าง ๆ เหล่านี้  เป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระยะยา วระหว่างเนสท์เล่กับชุมชนเกษตรกร ด้วยการช่วยให้ชีวิตพวกเขา มีความแน่นอนขึ้น และมีรายได้มากขึ้น

ด้านการดำเนินงาน เนสท์เล่คาดว่า จะสามารถปรับการดำเนินงาน 800 แห่งใน 187 ประเทศให้ใช้ไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียนทั้ง 100% ได้ภายในอีก 5 ปีข้างหน้า ซึ่งบริษัท ได้เปลี่ยนรถขนส่งทั่วโลก ให้เป็นแบบที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจ กและลดการเดินทางเพื่อธุรกิจภายในปี 2565

นอกจากนี้ ยังนำมาตรการอนุรักษ์น้ำและฟื้นฟูแหล่งน้ำมาใช้ รวมทั้งจัดการกับปัญหาขยะอาหารที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติงานอีกด้วย

ด้านพอร์ตผลิตภัณฑ์ เนสท์เล่ได้ดำเนินการขยายฐาน ให้มีอาหารและเครื่องดื่มที่ทำจากพืช (plant-based) มากขึ้น และได้ปรับสูตรผลิตภัณฑ์ ให้มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ เนสท์เล่พยายามเพิ่มแบรนด์ในเครือที่ “ปล่อยก๊าซคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์” ให้มีจำนวนมากขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้บริโภค เข้ามามีส่วนร่วม ในการแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วย 

สำหรับแบรนด์อาหารจากพืช Garden Gourmet และอาหารเสริม Garden of Life จะปล่อยก๊าซคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ได้ภายในปี 2565 ส่วนแบรนด์ Sweet Earth และอีกหลายแบรนด์ จะทำได้สำเร็จภายในปี 2568 นอกเหนือจากแบรนด์เหล่านี้แล้ว ยังมีแบรนด์ Nespresso, S.Pellegrino, Perrier และ Acqua Panna ที่มุ่งมั่นในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนสุทธิให้เป็นศูนย์ ภายในปี 2565 ส่วนน้ำดื่มที่เหลือของ Nestlé Waters จะบรรลุเป้าหมายเดียวกันนี้ได้ ภายในปี 2568

แม็กดิ บาตาโต รองประธานบริหารและหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติงาน กล่าวว่า “เกือบสองในสามของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของเรามาจากการเกษตร จึงเห็นได้ชัดว่า การทำการเกษตรแบบฟื้นฟู และการปลูกป่าทดแทน จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะนำไปสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (net zero)

ความพยายามต่าง ๆ เหล่านี้  จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และพัฒนาความหลากหลายทางชีวภาพได้ อย่างกว้างขวาง ซึ่งเราจะพยายามลดการปล่อยก๊าซ ที่เกิดจากการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง และจะพัฒนาพอร์ตผลิตภัณฑ์ให้ดีขึ้น สิ่งที่เราทำนั้นเป็นเรื่องยากแต่ก็มุ่งมั่นจะทำให้สำเร็จ”

ทั้งนี้ เนสท์เล่เตรียมลงทุนกว่า 3,200 ล้านสวิสฟรังก์ (ประมาณ 109,192 ล้านบาท คำนวณจากอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ 4 ธันวาคม 2563) ในอีก 5 ปีข้างหน้า เพื่อเร่งการดำเนินงานของบริษัท ซึ่งในจำนวนนี้จะเป็นการลงทุน 1,200 ล้านสวิสฟรังก์ (ประมาณ 40,947 ล้านบาท) เพื่อเร่งการทำการเกษตรแบบฟื้นฟู ตลอดระบบซัพพลายเชนของบริษัท แหล่งเงินทุนของการลงทุนครั้งนี้ จะมาจากการบริหารค่าใช้จ่ายของการดำเนินงานทางธุรกิจ และค่าใช้จ่ายทางโครงสร้างให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อทำให้ไม่เกิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม สำหรับการลงทุนครั้งนี้

เป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของเนสท์เล่ได้รับการอนุมัติจาก Science Based Targets initiative (SBTi) ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมาย ที่ต้องทำให้สำเร็จตามข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) โดย SBTi เป็น ความร่วมมือขององค์กรไม่แสวงผลกำไร ซึ่งถือเป็นมาตรฐานสูงสุดระหว่างประเทศ ในการประเมินความมุ่งมั่นของภาคธุรกิจต่อเป้าหมาย ในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิจนเหลือศูนย์ ซึ่งเนสท์เล่จะจัดทำรายงานความคืบหน้าในแต่ละปี เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินงาน 

error: Content is protected !!