onlinenewstime.com : “เสียง” ที่ได้ยินกันอยู่เป็นประจำตลอดเวลานั้น มีความถี่ของคลื่นเสียง อยู่หลายระดับ ทั้งที่ดังเกินไป แต่เป็นเพียงเสียงที่สร้างความรำคาญ จนกระทั่งดังเกินไป และมีผลกระทบ กับร่างกายและจิตใจได้ ซึ่งเหล่านี้ถือเป็นมลพิษทางเสียงที่เราต้องหาทางรับมือ
เสียงดังแค่ไหนถึงจะถือว่าเป็นมลพิษเสียง
มารู้จักระดับความดังของเสียง ที่เกิดจากกิจกรรมต่าง ๆในชีวิตประจำวัน ซึ่งประกอบด้วย เสียงในระดับต่าง ๆ กัน และมีระดับที่ชี้วัดได้ว่า อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
แหล่งกำเนิดเสียงที่สำคัญ
ระดับเสียง (เดซิเบลเอ) * | แหล่งกำเนิดเสียง |
30 | เสียงกระซิบ |
50 | เสียงพิมพ์ดีด |
60 | เสียงสนทนาทั่วไป |
80 | เสียงจราจรตามปกติ |
90 | เสีงรถบรรทุกที่กำลังวิ่ง |
100 | เสียงขุดเจาะถนน |
120 | เสียงค้อน เครื่องปั๊มโลหะ |
140 | เสียงเครื่องบินขึ้น |
* เดซิเบลเอม dB(A) คือ สเกลของเครื่องวัดเสียง ที่สร้างเลียนแบบลักษณะการทำงานของ หูมนุษย์ โดยจะกรองเอาความถี่ต่ำ และความถี่สูงของเสียง ที่เกินกว่ามนุษย์จะได้ยินออกไป
เสียงรบกวน หมายถึง ระดับเสียงที่ผู้ฟังไม่ต้องการจะได้ยิน เพราะสามารถกระทบต่อ อารมณ์ ความรู้สึกได้แม้จะไม่เกินเกณฑ์ที่เป็นอันตราย แต่ก็เป็นเสียงรบกวน ที่มีผลต่อผู้ฟังได้ การใช้ความรู้สึกทำให้วัดได้ยาก ว่าเป็นเสียงรบกวนหรือไม่เช่น เสียงดนตรี ที่ดังมากในสถานที่เต้นรำ ไม่ทำให้ผู้ที่เข้าไปเที่ยวรู้สึกว่าถูกรบกวน แต่ในสถานที่ต้องการความสงบ เช่น ห้องสมุด เสียงพูดคุยตามปกติ ที่มีความดัง ประมาณ 60 เดซิเบลเอ ก็ถือว่าเป็นเสียงรบกวนได้
เกณฑ์กำหนดของระดับเสียงที่เป็นอันตราย
กรมแรงงาน กระทรวงมหาดไทย ได้กำหนดมาตรฐานของระดับเสียงในสถานประกอบการ ต่าง ๆ ไว้ดังนี้คือ
- ได้รับเสียงไม่เกินวันละ 7 ชั่วโมง ต้องมีระดับเสียงติดต่อกันไม่เกิน 91 เดซิเบล(เอ)
- ได้รับเสียงวันละ 7-8 ชั่วโมง ต้องมีระดับเสียง ติดต่อกันไม่เกิน 90 เดซิเบล(เอ)
- ได้รับเสียงเกินวันละ 8 ชั่วโมง ต้องมีระดับเสียง ติดต่อกันไม่เกิน 80 เดซิเบล(เอ)
- นายจ้างให้ลูกจ้างทำงานในที่ ๆ มีระดับเสียงเกิน 140 เดซิเบล(เอ) ไม่ได้
ในอีกด้าน องค์การอนามัยโลกกำหนดว่า เสียงที่เป็นอันตราย หมายถึงเสียงที่ ดังเกิน 85 เดซิเบลเอ ที่ทุกความถี่ ส่วนใหญ่พบว่า โรงงานอุตสาหกรรม มีระดับเสียงที่ดังเกิน มากกว่า 85 เดซิเบลเอ เป็นจำนวนมากซึ่งสามารถก่อให้เกิดอันตราย ต่อสุขภาพทางกาย และจิตใจ
ผลเสียของเสียงที่มีต่อสภาพร่างกายและจิตใจ
การทำงานในที่มีเสียงดังเกิน 85 เดซิเบลเอ เป็นเวลาติดต่อกันมากกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน นานนับปีจะมีผลต่อมนุษย์ดังนี้
1. ผลเสียทางกายภาพ ผลเสียโดยตรงต่อประสาทหู ก่อให้เกิดการสูญเสียการได้ยิน ทั้งแบบชั่วคราวและแบบถาวร จนกลายเป็นความพิการได้
2. ผลเสียทางจิตใจ เกิดความเครียดเป็นโรคจิต โรคประสาทได้ การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ มีผลทำให้เกิดโรคกระเพาะ ความดันโลหิตสูง
3. ผลเสียต่อประสิทธิภาพการทำงาน เสียงที่ดังมาก ๆ จะรบกวนการทำงาน ทำให้เสียสมาธิ เป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุได้ และยังลดประสิทธิภาพการทำงานอีกด้วย
การป้องกันและวิธีลดความดังของเสียง
1. ควบคุมที่แหล่งกำเนิด
- การออกแบบอุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องจักรให้มีการทำงานที่เงียบ
- การเลือกใช้อุกรณ์ เครื่องมือ ควรเลือกประเภทที่มีเสียงดังน้อยกว่า เช่น การใช้เครื่องปั๊มโลหะ ที่เป็นระบบไฮดรอลิกแทน เครื่องที่ใช้ระบบกล
- การเปลี่ยนกระบวนการผลิต ที่ไม่ทำให้เกิดเสียงดัง
- การจัดหาที่ปิดล้อมเครื่องจักร โดยนำวัสดุดูดซับเสียง มาบุลงในโครงสร้าง ที่จะใช้ครอบหรือ ปิดล้อมเครื่องจักร
- การติดตั้งเครื่องจักร ให้วางอยู่ในตำแหน่งที่มั่นคง เนื่องจากเสียง เกิดจากการสั่นสะเทือนของเครื่องจักร และการใช้อุปกรณ์กันสะเทือน จะช่วยลดเสียงได้
2. การควบคุมที่ทางผ่านของเสียง
- เพิ่มระยะห่างระหว่างเครื่องจักร และผู้รับเสียง ทำให้มีผลต่อระดับเสียง โดยระดับเสียงจะลดลง 6 เดซิเบลเอ ทุก ๆระยะทาง ที่เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
- การทำห้อง หรือกำแพงกั้นทางเดินของเสียง โดยออกแบบวัสดุเก็บเสียง หรือดูดซับเสียงที่ สัมพันธ์กับความถี่ของเสียง
- การปลูกต้นไม้ยืนต้น ที่มีใบดกบริเวณริมรั้ว ช่วยในการลดเสียงได้
3. การควบคุมการรับเสียงที่ผู้ฟัง
การใช้อุปกรณ์ป้องกันต่อหู เพื่อลดความดังของเสียงมี 2 แบบคือ
- ที่ครอบหู จะปิดหูและกระดูกรอบ ๆ ใบหูไว้ทั้งหมด สามารถลดระดับความดังของเสียงได้ 20-40 เดซิเบลเอ
- ปลั๊กอุดหู ทำด้วยยาง หรือพลาสติก ใช้สอดเข้าไปในช่องหู สามารถลดระดับความดังของ เสียงได้ 10-20 เดซิเบลเอ การลดระยะเวลาในการรับเสียง ของผู้ที่อยู่ในบริเวณที่มีเสียงดัง เกินมาตรฐาน โดยจำกัดให้น้อยลง
มลพิษทางเสียง เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม และต้องหาทางแก้ไข หรือป้องกัน เพื่อไม่ให้เกิดการเจ็บป่วยในระยะยาว ทั้งทางร่างกายและจิตใจ
Cr. กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม